อยู่เป็นโสดหรือมีคู่ดี

อีกคำถามหนึ่งที่คนมักจะสงสัยก็คือ “อยู่เป็นโสดหรือมีคู่ดี” ตอนยังไม่มีคนรัก เราก็แสวงหา ด้วยความอยากรู้เพราะความไม่รู้ คนที่มีคู่แล้วทุกข์ เพราะดันไปเจอคู่เวร ก็มักจะตอบว่า อยู่เป็นโสดดีกว่า ส่วนคนที่เหงา อยากได้ความอบอุ่น อยากมีที่พึ่งทางใจ ก็มักจะตอบว่า มีคู่ดีกว่า ไม่ว่าใครจะตอบอย่างไรมันก็มาจากประสบการณ์ของตัวเองทั้งนั้นแหละ จริงไหม :)
 
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหมาะของแต่ละคนมันไม่ใช่ตามใจรู้สึกหรอก เพราะว่า ถ้ามีคู่ไม่ดี อยู่เป็นโสดก็ดีกว่าแน่ล่ะ แต่ถ้ามีคู่ดี มีคู่ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวจริงไหมคะ ^^ ทั้งนี้ก็มีตัวอย่างมาร่ายให้ดู ขอยกตัวอย่างทางธรรมซึ่งเป็นผู้ที่มีเป้าหมายชัดเจนนะคะ (เคยพูดไปแล้วหลายตอนว่า การรู้เป้าหมายชีวิตในตัวเองที่ชัดเจน จะช่วยทำให้เราสามารถเลือกทำ เลือกคน เลือกสิ่งต่างๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่มีจุดหมาย ไม่มีเป้าหมาย มันเหมือนจะเดินไปไหนก็ไม่รู้ จะนั่งรถสายไหนก็ไม่รู้ จะไปถนนเส้นไหนก็ไม่รู้ อันนี้มีสิทธิ์จะต้องเดินวนไปวนมา ที่ยกตัวอย่างทางธรรม ก็เพราะว่าเป้าหมายทางธรรมเป็นเรื่องการเรียนรู้การพ้นทุกข์

แต่อธิบายเพิ่มไปอีกเอ้า สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเพจนี้ หรือเรื่องธรรมะดี ธรรมะไม่ได้หมายถึงวัดนะ ธรรมะหมายถึงธรรมชาติ คนที่ศึกษาธรรมะจึงไม่ได้แปลว่าจะต้องออกบวชเท่านั้น แต่คนธรรมดาก็ศึกษาได้ ยิ่งเข้าใจธรรมชาติความจริงเท่าไหร่ เรายิ่งใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้มากขึ้นเท่านั้น) อย่างพระพุทธเจ้านั้นกว่าท่านจะสั่งสมบารมีมาถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้าได้ พระองค์ก็มีคู่บารมีที่คอยเกื้อหนุนสนับสนุนกันและกัน และเพื่อช่วยผู้อื่น อย่างพระอริยะบางองค์เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แหวน ท่านก็ได้มีโอกาสพบเนื้อคู่ของท่าน ตอนนั้นท่านบวชแล้ว แต่คู่ที่เจอนั้น ในประวัติก็ไม่ได้บอกนะว่าเป็นคู่บารมีหรือเปล่า มีแล้วเป็นอย่างไรไม่รู้ ท่านก็เลือกตัดเลย มุ่งทางนิพพาน อย่างบางองค์ในประวัติท่านก็ไม่ได้มีเรื่องคู่เรื่องอะไรเช่น หลวงปู่ดูลย์ ตั้งแต่เล็กจนถึงชั่วชีวิตท่าน ท่านอุทิศตนมาทางธรรมเลย
 
ในแง่การดำเนินชีวิตของเราที่ยังเป็นคนธรรมดา ที่ยังไม่ได้เป็นพระก็เหมือนกัน ที่จะสื่อคือ มันก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนที่สั่งสมมา มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยาก คือถ้าทำเหตุมาดี ได้เจอคู่ที่ดี มีความสุข เกื้อหนุนกันให้เจริญก้าวหน้าก็ได้ บางคนอยู่คนเดียวมีความสุขมากกว่า อยู่คนเดียวแล้วเจริญกว่า
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้พี่ชายก็ได้สรุปไว้ว่า
“ถ้าไม่พบคนที่เหมาะสมจะร่วมทางกันที่มีเป้าหมายเดียวกัน การอยู่คนเดียวดีที่สุดครับ และแน่นอนว่า การหาคู่อย่างนั้น(สำหรับคนที่อยากมีคู่ดีๆ)ย่อมไม่มีโอกาสจะได้พบ ทางเดียวที่จะได้พบคือต้องสร้างเหตุอย่างเพียงพอครับ”
 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ตายตัวนะ สังสารวัฏมันเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผล เพียงแต่ว่าเราต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเราให้ถูก พี่โจ้แนะนำว่า
“ผลของการตัดสินใจเลือกโดยไม่รู้ไม่ดูให้ดี คือจะก้าวหน้าช้ามากหรือแทบไม่ไปไหนเลย ซึ่งก็ไม่ได้จะทำให้ตายอยู่ตรงนั้นตลอดไป ก็แค่ว่าพอเห็นว่าไม่ก้าวหน้า ก็เลือกทางที่เหมาะกับตัวเองใหม่ได้ครับ
 
การมีคู่ มันก็มีภาระของมัน และก็มีข้อดีของมัน ถ้าได้คนที่เห็นอย่างเดียวกัน และพร้อมที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างแบบเบาๆที่สุด ก็คือการขับรถไปวัดไกลๆ ก็มีคนสลับกันขับ มันเหนื่อยน้อยลงมาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าจะทำคนเดียวเลยไม่ได้ เช่นขับไปคนเดียว เหนื่อยก็จอดนอนตามปั๊มหรือหน้าป้อมตำรวจ ร้านอาหารหรือ 7-eleven ก็ได้เหมือนกัน ข้อดีอื่นๆก็เช่นเวลาทำท่าจะเดินผิดทางก็มีคนทักท้วงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ใช่รึเปล่า ฯลฯ แต่ถ้าอยู่คนเดียว ก็สอบถามกัลยาณมิตรหรือครูบาอาจารย์ได้ (ถ้ารู้ตัวว่ามันแทม่งๆ ถ้าไม่รู้ตัวก็อีกเรื่อง) ทั้งสองทางมันไม่ได้ตันแหงๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าจะมีลูกนี่ คงก้าวหน้าได้ช้ามาก ราหุลเป็นข้าศึกกับการภาวนาค่อนข้างมากจริงๆ”
 
ดังนั้นในเรื่องนี้ญก็สรุปว่า ไม่ว่าจะมีคู่หรือไม่มี อย่างน้อยเราดูแลตัวเองได้ รักตัวเองเป็น พึ่งตนเองได้แล้ว เริ่มต้นอย่างนี้ยังไงดีแน่นอน จะอยู่คนเดียวก็อยู่ได้ แล้วถ้าจะมีคนเข้ามา ก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เยอะๆหน่อย ถ้ามีแล้วเกื้อกูลกันดียิ่งขึ้นก็มีได้ หรือถ้าพึ่งตนเองได้แล้ว แต่อยากมีคู่ที่ดีด้วยก็ทำได้ ก็คือสร้างเหตุที่ดี แต่ถ้าพลาด อาจจะด้วยไม่พิจารณาให้รอบคอบ หรือยังมีประสบการณ์ปัญญาในการเลือกคู่ไม่พอ ก็เรียนรู้ไป เผลอหลวมตัวแล้วก็อย่าได้เผลอเพิ่มเป็นรัดตัวแน่นขึ้น ทุกอย่างมันก็เป็นบทเรียนสอนให้เราพัฒนานิสัย มุมมอง การคิด รวมถึงความก้าวหน้าในการเข้าใจโลก เข้าใจกรรม เข้าใจธรรมได้เหมือนกัน
 
ความอยากหรือไม่อยากตามประสบการณ์จึงไม่สามารถเป็นตัวบ่งบอกความเหมาะสมของแต่ละคนได้จริง มีแต่กรรมที่แม่นยำที่สุด และแม้เราจะไม่รู้ว่าทำกรรมเก่ามาอย่างไร เราก็เลือกทำกรรมใหม่ได้ ด้วยความเข้าใจความอยากและไม่อยากตรงนี้ว่ามันอาจจะเป็นทุกข์และส่วนเกินสำหรับคนที่อยากไม่อยากในทางตรงข้ามกับที่ตนรับวิบากอยู่ แต่ถ้าจะสังเกตตัวเองละเอียดเพิ่มขึ้น หรือนำความอยากไม่อยากมาเป็นเหตุปัจจัย สร้างทางให้ตัวเองในอนาคตก็ขอให้ตั้งเป้าเลือกทำอย่างที่จะให้ตนเองมีความเติบโตและก้าวหน้า คือถ้าโตนี่มันมีปัญญาเพิ่มขึ้น ก้าวหน้าขึ้นยังไงก็มีความสุขขึ้น จะเอาความอยากเป็นโสดมาพัฒนาให้ตัวเองสามารถดูแลตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้ตนเองได้ เอาความอยากมีคู่ที่ดีมาเป็นกำลังสร้างเหตุที่ดี แล้วตัวเองก็พัฒนาตัวเองไปด้วยก็ได้
 
แต่กระซิบบอกนิดนึงนะคะว่า ต่อให้อยากมีคู่บุญนะ ถ้าไม่ทิ้งความอยากอันเป็นเหตุให้ยึด มันก็จะมีแบบทุกข์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเรียนรู้และเติบโตนั่นแหละ
แต่เราก็อาศัยความอยากเป็นทางได้ เช่น ในหนังสือ พระอานนท์พุทธอนุชา ที่ว่าอาศัยตัณหาละตัณหา
เพราะความอยากมีแล้วสร้างเหตุที่ดีมาเรื่อยๆ ได้เรียนรู้มาเรื่อยๆว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ รักอย่างไรเป็นทุกข์ รักอย่างไรเป็นสุข จนมาเข้าใจตัวนี้ จนจิตเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น มันเลยสร้างความสุขให้ตัวเองได้ แล้วก็ถึงจะมาเข้าใจมากขึ้นว่า มีคู่ที่เกื้อหนุนกันน่ะมันมีไปเพื่ออะไร
ไม่ได้มีเพื่อจะมี ไม่ใช่ใครก็ได้ ไม่ได้มีเพื่อจะอยู่ร่วมกัน แต่มีเพื่อพัฒนากันและกันอย่างแท้จริง มีเพื่อสร้างประโยชน์ใหทั้ง "ตนเอง" "อีกฝ่าย" และ"ส่วนรวม" ได้ แบบ two way
แม้จะต้องจากกันมันก็ไม่ทุกข์มากๆแบบคนที่ยังไม่เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ ยังไม่เข้าใจความรัก และยังไม่เข้าใจความหมายของการมีคู่ ว่ามีไปเพื่ออะไรค่ะ :)
 
ขอปิดท้ายด้วยประโยคของครูบาอาจารย์ที่เคารพค่ะ
 
“ไม่ว่าเราจะศรัทธาในพระศาสนามากเพียงใด
ก็ต้องมีความสมเหตุสมผล และมองความพร้อมของตนเองให้ออกจริงๆ เสียก่อน
มรรคผลนิพพานเป็นที่น่าปรารถนาก็จริง
แต่ความอยากได้มรรคผลอย่างเดียว ไม่ช่วยให้เราได้มรรคผลหรอกครับ
 
= การรู้จักเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดต่างหาก
กลับจะช่วยให้เราเข้าใกล้มรรคผลไปตามลำดับ =
เหมือนเส้นทางของหลวงตาแขวน ปู่ชนะ มติ แพตรี และเกาทัณฑ์
ที่ต่างก็มีทางเดินที่เหมาะสมกับตนเอง
และลาดลุ่มไปสู่ นฤพาน อันเดียวกันนั้นเอง
 
ในระหว่างเส้นทางเดินนั้น หากพบคนที่ควรร่วมทางไปด้วยกัน ก็เดินเป็นเพื่อนกันไป แต่หากไม่พบเพื่อนร่วมทาง"ที่ดี" ก็ควรนึกถึงภาษิตบทหนึ่งที่ว่า
"เอโก จเร ขักคะ วิสานะ กัปโป - พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด"
 
สันตินันท์”
 
สุขสวัสดีทุกสถานะ^^

 

แม่ขี้บ่น.....ลูกต้องไม่ขี้โกรธ

ให้เราพิจารณาดูว่า นิสัยขี้บ่นของแม่นั้น
เราจะช่วยทำให้ลดลงได้ไหม ปกติก็จะเปลี่ยนได้ยาก
หรือเปลี่ยนไม่ได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
ไม่ต้องคิดจะให้เปลี่ยน มองให้เห็นว่า อารมณ์ของแม่
เหมือนลมฟ้าอากาศ มีทั้งหนาว เย็น ร้อน ฝนตก
แห้งแล้ง มีลม ไม่มีลม ลมแรงและพายุ

 

โคตรโกรธเลย

ญ เป็นคนที่รักใครก็รักม๊ากมาก เกลียดใครก็เกลียดแรงมาก

ตามธรรมดาคนส่วนใหญ่ ถ้าชอบใช้อารมณ์ ก็คงไม่มีใครรักม๊ากมาก เกลียดเบาๆ^^

ความเกลียดนี่ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากความโกรธ ความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ

คือบางทีเขาอาจจะเลวจริง หรือบางทีก็ไม่ได้เลวหรอก แค่ทำไม่ถูกใจเรา

 

รู้จักตัวเองแล้วก็รู้ว่าใครคือคนที่ใช่

เกริ่นไว้เมื่อวานว่าวันนี้จะเขียนบล็อกใหม่ บางทีก็เขียนอะไรที่มัน ซ้ำกันบ้าง ขยายความเพิ่มได้กว้างบ้าง น้อยบ้าง ยังไงก็อย่าถือสาเลยนะคะ^^”

จริงๆ เนื้อหาหลักๆมันก็ไม่แตกต่างจากเดิมเยอะหรอก แต่ดีเทลมันจะชัดเจนขึ้นผ่านประสบการณ์
เหมือนไข่เจียวมันก็คือไข่เจียวนะ แต่ทำบ่อยๆ ทำเก่งขึ้น มันก็ดูดีขึ้น อร่อยขึ้น^^

 

มีทุกข์ ทำอย่างไร หนี ทน หรือเรียนรู้

เวลาที่มีทุกข์......

คนกลุ่มหนึ่งหนี

ลักษณะของคนกลุ่มนี้ เวลาที่มีทุกข์เขาก็หันเหไปทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้ลืมทุกข์ เช่น เที่ยว ช๊อปปิ้ง กินเหล้า


กล่าวกันในทางกุศลก็มี ทำบุญเพื่อขอพร


การแก้ไขความทุกข์แนวนี้ ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ อย่างน้อย ก็ไม่เอาใจตัวเองไปจดจ่อกับความทุกข์ มันก็ดีแบบหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่สามารถแก้ไขความทุกข์ หรือแก้ไขสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เพราะเราหนีปัญหา ยังไม่รู้จักปัญหา

 

Page 15 of 42


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.