๕. ทุกข์ของคนมีคู่

คู่สร้าง คู่(เหมาะ)สม

อาจจะเพราะติดภาพเทพนิยายตั้งแต่เด็ก หรือนวนิยายและละครตอนโต ทำให้ดิฉัน รวมทั้งคนส่วนมากเชื่อว่าชีวิตของเราอาจจะได้เป็นเหมือนละครที่มีเราเป็นตัวเอก รอวันได้พบพระเอกหรือนางเอกในฝัน ที่จะครองรักครองคู่ไปจนตราบฟ้าดินสลาย เพราะเราเชื่อกันมาว่ามีเนื้อคู่หรือคู่แท้ที่จะไม่แปรผัน ซึ่งแท้จริงแล้วหันไปมองรอบตัวในยุคสังคมปัจจุบัน คู่กัด คู่ตีกันฟันแล้วทิ้ง คู่ไปแล้วแต่แคล้วกันมีมากกว่า

สำหรับดิฉันเมื่อก่อนไม่เคยศึกษาธรรมะ ก็ไม่เข้าใจ ช่วงต้นก็รอเพราะคิดว่ามีใครสักคนที่เกิดมาเพื่อผูกพัน ใครสักคนที่เกิดมาคู่กันตลอดกาล ช่วงต่อมาเห็นโลกมากขึ้นทำให้คิดว่าคงรอเก้อเสียแล้ว จนมาช่วงหลังเมื่อศึกษาธรรมะมากขึ้น จึงได้เข้าใจว่า ที่คนเราจะหวังมีคู่ครองที่ดีเพอร์เฟคนั้นเป็นไปได้ยาก ก็เพราะว่าแม้แต่ตัวเราก็ยังไม่ได้เป็นคนที่เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบเช่นกันและเพราะทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน พุทธศาสนาจึงไม่มีความเชื่อหรือกล่าวถึงคู่แท้แบบพรหมลิขิต จะมีก็แต่กรรมของเราที่ลิขิตว่าจะเป็นคู่กับใคร ดังนั้นถ้ามีคำถามว่า ทำไมเราถึงไม่มีคู่ครองที่ดี อ้างถึงความเชื่อในเรื่องกรรมก็ต้องบอกว่า เราไม่ได้สร้างเหตุให้เจอคู่ครองที่ดี แล้วเราจะเจอคู่ครองที่ดีได้อย่างไร

คำว่าคู่แปลตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานไว้ว่า เป็นสิ่งที่ต่างกันแต่มีความคล้ายคลึงกัน หรือมีความสัมพันธ์กัน เสมอกัน หรือเท่ากัน ในทางกรรม เราจะเจอ จะได้อะไร มีคู่ครองแบบไหน ก็ล้วนแล้วมาจากกรรมที่เราเคยสร้างทั้งสิ้นคือ มีคู่ที่เหมาะสมกับกรรมของเรา ได้เป็นคู่ครองเพราะเคยสร้างเหตุปัจจัยไว้ร่วมกันอย่างนั้น แต่เนื่องจากในการเดินทางร่วมกันนั้น ระหว่างทางคงจะมีทั้งได้ทำบุญ และบาปร่วมกัน มาพบกันชาติใหม่จึงเหมือนมีทุนหรือมีหนี้มาก่อนแล้วส่วนหนึ่งเพื่อให้ก่อเกิดเป็นความรู้สึกแบบนั้นเมื่อเจอกันใหม่ 

คู่ในภาษากรรมจึงแบ่งออกเป็นคู่บุญและคู่บาป คู่บุญคือ คู่ที่ได้ทำบุญร่วมกันมามากกว่าบาป จะสังเกตว่าคู่ที่เรามีอยู่เป็นคู่บุญก็ต้องดูกันยาวว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข(เป็นส่วนมาก)หรือไม่และสามารถร่วมกันทำสิ่งที่ดีร่วมกันได้หรือเปล่า ส่วนคู่บาปนั้นก็คือคู่ในทางตรงข้ามกับคู่บุญ(ตอบแบบกำปั้นทุบดิน)  อธิบายให้ชัดเจนอีกครั้งก็คือ เป็นคู่ที่ทำบาปร่วมกันมามากกว่าบุญ ถ้าเราอยู่กับใครแล้วต้องมีแต่ความทุกข์ใจเป็นส่วนมาก แถมชวนกันไปก่อหนี้หรือเพิ่มโอกาสในการก่อหนี้(เช่นการทำให้ขาดสติด้วยการดื่มของมึนเมา)  เสียเป็นส่วนใหญ่เวลาจะทำบุญร่วมกันก็มีอุปสรรคตลอดหรือขัดขวางกัน ก็เดาได้เลยว่านั่นแหละ คู่เวร คู่บาป

แต่อย่าเพิ่งท้อใจว่ากรรมลิขิตมาแล้วเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะกรรมเก่าส่งมาแค่ไหนก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่จะอยู่ร่วมกันได้นานแค่ไหน ด้วยสุขด้วยทุกข์อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมใหม่หรือกรรมปัจจุบันที่ทำร่วมกันเป็นส่วนใหญ่

โดยนัยนี้ คู่บุญ เหมือนคู่ที่มีทุนร่วมกันมาดี พบกัน เจอกันจะมีความสุขราบรื่น ถ้าอยู่ร่วมกันแล้ว คิดดี พูดดี ทำดีต่อกัน สร้างบุญเพิ่มร่วมกันก็จะทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขยืดยาวขึ้น หรือพบกันใหม่ก็จะมีความรู้สึกดีให้กันอีก เหมือนมีแรงบุญหนุนเป็นกำลังให้สามารถร่วมกันทำสิ่งดีๆที่เป็นบุญร่วมกันโดยง่าย แต่ถ้าไม่ลงทุนเพิ่ม ใช้แต่บุญเก่าไปจนหมด แถมก่อบาปใหม่ต่อกัน คิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายกัน หรือร่วมกันก่อบาป เมื่อบุญหมดก็จะแปรสภาพเป็นคู่เวรได้ เช่นกัน คู่ที่เป็นคู่บาป คือ คู่ที่นอกจากไม่มีทุนแล้วยังเป็นหนี้ร่วมกันหรือต่อกัน เมื่ออยู่กันไประยะหนึ่งก็จะพบความบาดหมาง ความไม่เข้ากัน ความทุกข์ใจ เมื่อทำบาปร่วมกันหรือต่อกันไปเรื่อย 4เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ไม่พอใจ หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น อาจถึงขั้นฆ่าแกงกัน พบกันชาติใหม่ก็ไม่วายต้องใช้หนี้ต่อไป(แนวว่าอยู่ด้วยกันก็ทุกข์แต่ก็ไม่อาจตัดขาดเพราะยังใช้กรรมไม่หมด) แต่ถ้ารู้และเข้าใจเรื่องกรรม ร่วมกันพัฒนาแก้ไข อาจจะยากหน่อยแต่ถ้าฝืนแรงดึงดูดลงต่ำได้ทำดีต่อกัน ทำบุญร่วมกันมากๆ ก็จะทำให้มีความสุขและเปลี่ยนเป็นคู่สร้างด้วยบุญต่อไปได้ในที่สุด

คู่ที่จะสมกัน และร่วมสร้างไปด้วยกันนั้นจำเป็นต้องเป็นคู่ที่มีความกลมกลืน หากเราต้องการคบหากับคู่เราให้ยืนยาวด้วยร้ายด้วยดีแบบไหน ก็ต้องสร้างเหตุให้สอดคล้องเหมาะสม เดินตามไปทางนั้นโดยอาจจะเริ่มต้นด้วยการดูความพร้อมที่จะพัฒนาและเติบโตไปด้วยกัน หรือความพยายามที่พร้อมจะสู้ไปด้วยกัน วิธีที่จะดูว่าเรากับเขาจะพัฒนาเดินไปพร้อมกันได้ไหมก็ต้องลองคุยกันเรื่องเป้าหมาย และความรู้สึกของแต่ละฝ่ายเพื่อจะได้เห็นความเป็นปกติของเขาและเรา หรือความเป็นตัวเขาและเราเบื้องต้นก่อนว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ทั้งเราและเขามีความรู้สึกอย่างไรกับการที่จะต้องช่วยกันปรับ และการปรับกันให้สม ในทางพุทธ คู่ที่จะอยู่ด้วยกันยืนยาวอย่างมีความสุขจะต้องมีความเสมอหรือสมกัน ในส่วนของ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ศรัทธา คือ ความเชื่อ คือทิศทางและระดับความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม ถ้าคนหนึ่งเชื่อในการทำดีได้ดี กรรมและผลของกรรมมีจริง ส่วนอีกคนไม่เชื่อ ก็จะนำไปสู่รูปแบบการดำเนินชีวิต คิดอ่าน และเลือกทำต่างกันไป หรือคนหนึ่งเชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อีกคนไม่เชื่อ ก็ยากที่จะคุยกันรู้เรื่อง

ศีล คือ ระดับการละเว้นในการไม่ละเมิดผู้หนึ่งผู้ใด แสดงความเป็นปกติของคนแต่ละคนว่ามีความเสมอกันในการรักษาใจ และป้องกันการเกิดปัญหาในการครองคู่ ยกตัวอย่าง ศีลข้อหนึ่ง ถ้าคนหนึ่งชอบตกปลาอีกคนหนึ่งเป็นคนขี้สงสารรักสัตว์ คงอยู่ด้วยกันลำบาก เพราะคนหนึ่งมีใจเบียดเบียน อีกคนมีใจคิดช่วย ก็เป็นเครื่องแสดงอยู่แล้วว่าอยู่ด้วยกันมีความไม่สมกันอย่างไร เพราะเรียกได้ว่ามีใจอยู่ในทางตรงกันข้ามกัน  ศีลข้อสองคือ การไม่ลักทรัพย์อันเจ้าของมิได้อนุญาต ถ้าแม้ว่าเรามีศีลข้อนี้มั่นคง แต่อีกคนไม่มี คนที่ไม่มีก็อาจนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ได้ เพราะความเคยชินนี้จะทำให้การเงินในบ้านมีปัญหา ขาดความไว้วางใจในการเก็บรักษาทรัพย์ อยู่ด้วยกันก็จะพาลมีแต่เรื่องเดือดร้อนมากกว่าสงบเย็น ต่อมาคือศีลข้อสามเรื่องการไม่ประพฤติผิดในกามนั้นเป็นข้อหลักอยู่แล้วที่หากคู่ใดมีใครคนใดคนหนึ่งละเมิด ก็จะต้องพาให้เกิดความบาดหมาง ความทุกข์ให้อีกฝ่าย ศีลข้อสี่เรื่องการไม่โกหกนั้น ถ้าเราไม่สามารถไว้ใจได้ว่าคนที่เรารัก ที่เราอยู่ด้วย จะซื่อสัตย์และพูดความจริงกับเรา การอยู่ด้วยกันก็จะมีแต่ความหวาดระแวง ส่วนศีลข้อสุดท้าย การไม่ดื่มสุรา เป็นเรื่องของการไม่ทำตัวให้ขาดสติเพราะฤทธิ์ของมึนเมา เพราะจะทำให้ขาดความยับยั้งในเรื่องของอารมณ์ที่จะทำผิดศีลข้ออื่นได้

เรื่องของจาคะ เป็นเรื่องของการรู้จักสละวางสิ่งต่างที่แต่ละคนยึดถืออยู่เนื่องจากคนเราจะอยู่ร่วมกันได้ ต้องมีความสมดุล และทั้งสองฝ่ายต้องมีความสามารถในการรักษาความสมดุลระหว่าง give and take เป็นการร่วมกันปรับ ร่วมกันสร้าง ร่วมชีวิต ไม่ทิ้งภาระให้ใคร เช่น ถ้าคนหนึ่งสามารถสละทรัพย์สิน หรือแรงกายแรงใจให้คนที่มีทุกข์โดยไม่สะสม เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ ส่วนอีกคนชอบสะสม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่คิดจะเอาอย่างเดียว อย่างนี้คบกันคงไม่ราบรื่นเท่าไหร่ การสละนี้รวมไปถึง การสละละวางอารมณ์ทางใจด้วยคือ คนสองคนนั้นอยู่ร่วมกันนี่มันต้องมีห้วงเวลาที่คิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีจาคะมาก ก็จะรู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่ขุ่นข้องต่อกัน หรือยอมปล่อยวางความคิดของเราเพื่ออีกฝ่าย ถ้าคนสองคนมีความไม่สมกันในด้านนี้ก็จะนำไปสู่ความรู้สึกว่า ฉันยอมเธอแต่ฝ่ายเดียวจนในที่สุดก็หมดรัก เพราะรู้สึกว่าเราต้องยอมหรือสละให้เธอตลอด

สุดท้ายคือ ปัญญา คือ ระดับความรู้ชัด ความสามารถในการเชื่อมโยงเหตุและผล คนสองคนอาจจะไม่ต้องมีความรู้ ความชำนาญด้านเดียวกันทั้งหมด แต่คนสองคนควรมีระดับความสามารถในการ เรียนรู้หรือเชื่อมโยงเหตุและผลของเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในระดับที่ใกล้กัน เช่น คนหนึ่งเห็น ๑ เข้าใจไปถึง ๑๐ แต่อีกคนเห็น ๑ แต่รู้ได้แค่ ๓ อย่างนี้จะทำให้อยู่กันไม่ยืดเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายที่รู้มากจะต้องคอยสอนคนที่รู้น้อยอยู่ตลอด ซึ่งคนที่รู้น้อยกว่าก็จะไม่รู้สึกดีเท่าไหร่ นานวันเข้าก็จะหมดความนับถือกัน ความรักก็จืดจางตาม แต่ถ้าคนสองคนมีระดับความสามารถในการเรียนรู้ใกล้กัน ความสามารถตรงนี้เองจะช่วยประสาน เขานำเราเรื่องที่เขาชำนาญ เรานำเขาเรื่องที่เราชำนาญ ทั้งสองฝ่ายก็จะเกิดการเกื้อกูล และมีความเคารพในกันและกัน

ความจริงแล้วกรรมเป็นเรื่องซับซ้อน เป็นหนึ่งในเรื่องอจินไตย (เกินจะคิดให้เข้าใจได้หมดตลอดสาย ดังที่พระศาสดากล่าวว่าเป็นเรื่องไม่ควรคิด ผู้คิดเรื่องกรรมเป็นผู้พึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน การศึกษาเรื่องกรรมจึงต้องกระทำผ่านการเชื่อมโยงจากกรรมคือการกระทำจนเป็นนิสัยเข้ากับผลคือความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้กระทำกรรมนั้นเท่านั้น จะใช้การคิดหรือปรุงแต่งคาดเดาใดไม่ได้เลย) การที่จะคาดเดาเอาเองว่าตอนนี้กรรมกำลังส่งผลมาแบบไหนจึงเป็นเรื่องเหลือวิสัย แต่เราก็ยังคงต้องชดใช้กรรม และกรรมใครก็ยังคงเป็นของคนนั้น ไม่มีใครสามารถรับแทนได้ เราจึงต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุดในทุกปัจจุบัน

สรุปโดยย่นย่อว่าคู่ที่จะประคับประคองร่วมเดินกันไปได้นาน และมีความสุขจะต้องมีเป้าหมายในการเดินทาง การเลือกเส้นทางการเดินทาง วิธีการเดินทาง จังหวะการเดินทางที่คล้ายคลึงกัน

ถ้าคู่ครองเราร่วมด้วยช่วยกัน อาจจะเป็นบุญหรือบาปก็เปรียบเหมือนการสร้างสายใยชนิดนั้นกับเพื่อนร่วมทาง สร้างบุญร่วมกันก็คือสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันในเส้นทางที่เจอกัน สร้างบาปร่วมกันก็คือสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อกันในเส้นทางที่เจอกัน นอกจากนี้การมีเป้าหมายในชีวิตร่วมกันอย่างไรก็เหมือนเป็นเข็มทิศให้ใจของคนสองคนเดินไปตามนั้น ถ้าเลือกจุดหมายที่ดีก็คือไปพบกับความสุข ณ จุดหมาย  ถ้าเลือกทางร้ายก็คือไปพบความทุกข์ ณ ที่นั้น ถ้ามีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน ก็มั่นใจได้ว่าเราจะเดินทางไปด้วยกันได้ไม่ใช่คนหนึ่งอยากไปเอธิโอเปีย อีกคนอยากไปสวิสเซอร์แลนด์ จุดหมายต่างกัน ก็ต้องใช้เส้นทางไปแตกต่างกัน และถ้ามีวิธีการเดินทางแบบเดียวกันแล้วก็ไม่ยากที่จะเดินต่อไปด้วยกันนานๆ เพราะพื้นฐานการมีศีล ศรัทธา ปัญญา และจาคะ จะช่วยให้เรารู้จักพัฒนา และประคับประคอง เติบโตไปด้วยกัน เพราะการที่คนสองคนจะอยู่ร่วมกันได้นั้น สิ่งที่ต้องคำนึงในระยะยาวก็คือการเปลี่ยนแปลงของคนทั้งสอง ด้วยเหตุว่าตัวเราเมื่อปีที่แล้วกับตัวเราในวันนี้ไม่เหมือนกัน(เขาอาจจะเปลี่ยนไม่อยากไปสวิสเซอร์แลนด์ แต่อยากไปเอธิโอเปีย เพราะเห็นว่าน่าสนใจกว่า หรืออยากเปลี่ยนวิธีการเดินทาง) เพราะทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงจากการเรียนรู้ ปัญญาในการอยู่ร่วมกันของคนสองคนก็คือระดับของการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันด้วย เปรียบเหมือนการเดินทาง ถ้าคนหนึ่งเดินเร็ว แต่อีกคนเดินช้า หรือคนหนึ่งชอบเดินกลางวัน แต่อีกคนชอบเดินกลางคืน ก็ยากที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สาเหตุก็ชัดเจนอยู่แล้วคือ มีความสุขกันคนละแบบ

สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการทำบุญร่วมกันมาก่อนเลย แนะนำให้เริ่มจากการเริ่มทำทานก่อน อาจจะเริ่มที่การ บริจาคของเก่า เช่น หนังสือ เสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ที่อยู่ในสภาพที่ยังใช้ได้ แต่ไม่ใช้แล้ว หรือการไปทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมร่วมกันการได้ร่วมให้ ร่วมทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม (คือไม่เจาะจงคนใดคนหนึ่ง) นี้มีผลอย่างมากกับความรู้สึกดีที่จะเกิดขึ้นต่อกัน ซึ่งเมื่อได้ทำร่วมกันเป็นประจำแล้ว ผลที่เกิดระหว่างกันคือ ความรู้สึกยินดีร่วมกันเป็นความรู้สึกยินดีเมื่อพบเห็นกัน จากนั้นก็เขยิบเป็นการรักษาศีล ๕ ร่วมกันในวันหยุด เมื่อเกิดความชำนาญและคุ้นเคยมากขึ้นก็เพิ่มเป็นรักษาศีลทุกวัน และพัฒนาเป็นการร่วมรักษาศีลทุกวันหยุด หรือวันพระ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางใจในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งฐานของการทำทานและรักษาศีลนี้จะมีส่วนช่วยพัฒนาในการยกระดับจิตใจสำหรับใช้ในการฝึกภาวนาต่อไปได้อีกด้วย ซึ่งการภาวนาจะมีส่วนช่วย เป็นการปรับระดับความเห็นที่ต่างกัน อันเนื่องมาจากระดับความเห็นชัดที่ไม่เท่ากัน และยืนต่างจุดกันให้มีความเห็นเสมอกัน โดยการทำความเห็นให้ชัดด้วยการทำสมถะภาวนา และทำความเห็นให้เป็นกลางด้วยการทำวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเมื่อได้ฝึกรู้จิตรู้ใจตัวเองมากเข้าก็จะทำให้เข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายมากขึ้น

ผลของการทำกรรมดีทั้งหมดนี้ร่วมกันจะส่งผลเป็นความรู้สึกของคนทั้งสองทั้งสิ้น คือทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความไว้วางใจต่อกัน มีความรู้สึกยินดีในกันและกัน มีความสงบแสนดี ความพอใจจากใจที่พอไม่รวมสิ่งอื่นที่จะเข้ามาในชีวิตของแต่ละคน และคนทั้งคู่ อันเป็นผลจากการที่ได้ทำทานและรักษาศีลอยู่แล้ว ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้าทำได้ก็จะเป็นคู่สร้างที่สมกันจริงๆ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ก็อย่าไปบังคับเขาให้ทำอย่างที่เราเห็นดีอยู่คนเดียวเพราะจะเป็นการสร้างเหตุสร้างกรรมให้ขุ่นข้องใจและไม่สามารถทำบุญด้วยกันอีกได้เปล่าๆ ถ้าเริ่มต้นเขามีการขัดคอหรือคัดค้านที่จะทำตาม ก็ขอให้เราตั้งใจที่จะทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด อันเป็นการสร้างเหตุฝั่งเราให้ดีที่สุด ซึ่งเมื่อทำเหตุแล้วผลที่ดีจะตามมา เขาอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีจากตัวเราแล้วยอมปรับ ลองหันมาศึกษาและทำตาม หรือถ้าไม่อาจจะเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียนรู้แทนที่จะกดดันบังคับให้เขาเปลี่ยนแปลงอันเป็นการก่อบาปเวรระหว่างกัน ก็ควรพิจารณาว่าเขาไปได้แค่ไหน รวมทั้งพิจารณาว่าเขาสมกับเราหรือไม่อย่างไรโดยไม่ยึดที่ตัวบุคคล ซึ่งในเวลาไม่นาน ถ้าเขาไม่เหมาะสมกับเราเรากับเขาก็จะค่อยๆ ห่างและจากกันไป และคนต่อไปที่จะเข้ามาในชีวิตก็จะเป็นคนที่เหมาะสมกับเรายิ่งกว่าเดิม เพื่อชดใช้หนี้หรือรับผลบุญตามเหตุที่เราสร้างมาต่อไป


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.