ไม่มั่นใจ กลัวใครๆไม่รัก

shyลองอ่านดู เผื่อจะตรงกับใคร:)

ผมรู้ตัวว่าเป็นคนมีปัญหา  เหมือนคนขาดความรัก  อยากมีใครสักคนคอยห่วงใยดูแล  แต่ผมเป็นคนหวาดระแวง  วิตกกังวล  ไม่มั่นใจในการที่จะทำอะไรหรือพูดอะไร  เพราะกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าทำไปแล้วเพื่อนจะไม่ชอบ  กลัวเพื่อนรังเกียจแล้วจะเลิกคบ 


ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง  จะเรียกว่าสนิทก็ไม่เชิง  เพราะชอบอะไรไม่ค่อยเหมือนกัน  แต่เขาเป็นคนดี  มนุษย์สัมพันธ์ดี  มีน้ำใจและรักษาน้ำใจเพื่อน  ผมจึงดีกับเขามาก  เขามีปัญหาสุขภาพ  ผมจึงช่วยเหลือเขาทุกอย่าง  รวมทั้งด้านการเงิน  เพราะผมมีหน้าที่การงานและฐานะมั่นคง  จะเรียกว่าทุ่มเทเลยก็ว่าได้   เขาก็รู้สึกซาบซึ้งขอบคุณผม  ผมใกล้ชิดเขามาเป็นเวลาหลายปี    เขาก็รับรู้ว่าผมมีปัญหาทางด้านจิตใจ  เขาก็พยายามชี้แนะ   พาเข้าสังคมบ้างอะไรบ้าง   แต่ผมก็ไม่ค่อยดีขึ้น  อาจจะเพราะตัวเองไม่ค่อยคิดที่จะปรับปรุงตัว  


จนนานๆเข้าเขาคงเริ่มเบื่อ  พอผมรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเบื่อ  ผมก็ยิ่งเครียด  จะทำอะไร  จะคุยอะไรกับเขาดูมันอึดอัดไปหมด  ผมก็พยายามห่างๆออกมาเพื่อลดความตึงเครียด  คิดว่าอะไรๆมันจะผ่อนคลายและดีขึ้น  ตอนหลังๆเขาไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด  ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ห่างๆกันบ้าง  เป็นเดือนถึงจะได้โทรคุยกันสักครั้ง  แต่ก็คุยกันอย่างไม่สนุกเท่าไหร่ 


พอช่วงวันหยุดที่ผ่านมา  เขากลับมาเยี่ยมบ้านและจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว   แม่ของเขาชวนผมไปด้วย   เพราะผมก็ไปใกล้ชิดคลุกคลีกับครอบครัวเขามาหลายปี  พ่อแม่เขาก็เอ็นดูผมพอสมควร  ผมก็อยากไปเที่ยวด้วยจึงไป  และอยากเจอเพื่อนด้วยไม่ได้คุยกันนานแล้ว  ซึ่งตอนก่อนไปนั้น  จิตใจผมก็สดใสพอสมควร  พอได้ห่างจากเพื่อนหลายเดือนความเครียดความเกร็งก็เริ่มลดลง   คิดว่าคงได้เที่ยวให้สนุก  แต่พอเจอหน้าเพื่อน  เขามีสีหน้าท่าทางเซ็งๆ  เหมือนว่าเขาเซ็งที่ผมไปด้วย   จิตใจผมวูบทันที  ความทุกข์ที่คุ้นเคยมันเข้ามาหาผมอีกแล้ว  ตลอดการเดินทางเขาจะพยายามไม่อยู่กับผมสองคน   เหมือนกับเขาอึดอัด  ไม่รู้จะคุยอะไร   บางครั้งผมก็คิดน้อยใจว่าทำไมเขาทำหมางเมินกับเรา  ทำให้เราเสียใจ  ทั้งๆที่เราก็ดีกับเขามาก  ถ้าเขาทำตัวสดใสกับเราก่อนเราก็คงยิ้มแย้มตอบกลับไปได้   แต่คิดๆแล้วผมพอจะเข้าใจความรู้สึกเขา  ผมเองคุยไม่เก่ง   จะให้เขาเป็นคนชวนคุยก่อนทุกทีเขาก็คงจะเบื่อ  ผมก็พยายามทำตัวให้สดใสหาเรื่องมาคุย  แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะความหดหู่มันเข้าครอบงำผมเสียแล้ว      ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า  พยายามทำดีเท่าไหร่  มันก็ยังแพ้ความน่าเบื่อ  อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข   ผมกลับถึงบ้านด้วยความทุกข์ยิ่ง   นี่ผมเสียเพื่อนคนนี้ไปแล้วหรือ   เพื่อนคนที่ผมสนิทที่สุด


โปรดช่วยชี้แนะผมด้วย  ว่าผมควรทำอย่างไรกับตัวเองดี  หรือทำอย่างไรจึงจะไม่เสียเพื่อน  มันสำคัญมั้ยที่จะต้องให้เขากลับมาสนิทกับเราเหมือนเดิม   หรือถ้าผมปรับปรุงตัว  ก็จะมีเพื่อนไปเอง  อาจจะเป็นเพื่อนใหม่ก็ได้  อย่างนั้นหรือเปล่า   จิตใจผมสับสนมาก  ไม่สงบเลย  ในอดีตที่ผ่านมาพอผมมีปัญหา  ก็จะพยายามหาหนังสือธรรมะสอนใจมาอ่าน  ก็ช่วยได้บ้าง  แต่ก็ไม่ยั่งยืน   บางครั้งอ่านก็พอจะเข้าใจ  แต่มันก็ปฏิบัติได้ยาก  หรือว่าผมควรจะต้องปฏิบัติจริงจังแบบไปนั่งสมาธิเลย  มีวิธีไหนที่จะรักษาผมในระยะยาวได้บ้าง   โปรดชี้แนะด้วยครับ


ขอบคุณครับ

คุณดังตฤณตอบ

1) พูดไม่เก่ง ไม่อยากเข้าสังคมนั้น มักจะเกิดจากปมสองสามประการเช่น
- มีวิมานอากาศของตัวเอง ชอบคิดอะไรกับตัวเองคนเดียว ไม่ชอบโลกความจริงภายนอก
- เหมือนมีอะไรแกล้ง พูดทีไรผิดหูชาวบ้านอยู่เสมอ ทั้งที่ตั้งใจล้อเล่นให้สนุก
แต่บางทีเขาตีความหมายเป็นเราด่าเขา
บางทีความไม่กล้าพูด แต่ฝืนพูด ก็ทำให้ตะเบ็งออกมาผิดธรรมชาติ
หรือไม่ก็ส่อบุคลิกที่ประหลาดๆ จนตัวเองก็นึกขัดเขิน ยิ่งคนทำหน้าไม่ชอบ ยิ่งรู้สึกผิดและไม่อยากพูด

2) การทำสมถะหรือวิปัสสนานั้นน่าจะเหมาะ
เพราะดูท่าทางคุณเจ้าของกระทู้เป็นคนฉลาด มีความสามารถ แล้วก็อมทุกข์
ถ้าเข้ามาทางนี้ได้ก็มักจะรุ่ง เพราะนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครนับเป็นปัจจัยเกื้อหนุนประการหนึ่ง
การเริ่มต้นนั้น สำหรับจิตใจที่ยังตึงเครียด อาจต้องการธรรมะง่ายๆ สบายๆ
ลองอ่าน แด่เธอผู้มาใหม่ ดูอาจจะเก็ตบ้าง

ขอให้สังเกตว่าคุณเจ้าของกระทู้ชอบหมกมุ่นกับความคิดตัวเองหรือเปล่า
ตื่นเช้าซึมเศร้า ตกเย็นซึมเศร้าหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็เหมาะมาก
เพราะทางดิ้นให้หนีไปที่อื่นเหลือน้อยเต็มที มาทางนี้เถอะครับ รับรองแจ่ม
ส่วนใหญ่คนที่พูดอะไรโดนเข้าใจผิดหมดนั้น
มักเป็นพวกชอบทำตลกร้ายมาก่อน
หรือยุแยงตะแคงรั่วให้คนอื่นเขาบาดหมางกันมาก่อน
จะชาตินี้หรือเวรกรรมตามมาแต่ปางไหนก็ตาม

ขอแนะนำวิธีลัดๆคือให้สวดมนต์ดูครับ
สวดเช้าเย็น เปล่งเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ
แต่ละคำให้สะเทือนลงไปถึงคอ
และให้จ่อใจอยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกไปไหน
เมื่อรู้สึกสงบเย็น ใจเป็นกุศลหลังจากสวดเสร็จแล้ว
ให้พิจารณาว่าจิตเราเป็นกุศลเพราะพูดในสิ่งที่เป็นกุศล
จากนั้นอธิษฐานขอความปรารถนาดังนี้
1) ขอให้จิตที่เป็นกุศลในการพูดนี้ติดตัวอยู่ (ไม่ต้องอธิษฐานก็ติดแน่ๆถ้าสวดทุกวัน)
2) ขอให้การพูดของเราจงเป็นอาการเหมือนที่สวดมนต์ คือชัดถ้อยชัดคำ มีสติ จิตเป็นกุศล

ทดลองดูจะเห็นอานิสงส์ความศักดิ์สิทธิ์แบบทันตาครับ
ความจริงมีวิธีอื่นที่ตรงไปตรงมา แต่ต้องสืบเสาะรายละเอียดส่วนบุคคล
เอาวิธีนี้แหละง่ายและครอบจักรวาลดี ใช้ได้กับทุกคน
เน้นด้วยว่าขณะสวดต้องเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ ให้มีความสะเทือนถึงคอ ถึงจิต
และมีใจไม่วอกแวกไปไหน กระทั่งจิตสงบเป็นกุศลด้วยวจีสังขารนะครับ สำคัญ
ถ้าทำแล้วไม่ได้ผลขอให้สำรวจตรงนี้มากๆ
อธิบายแบบเป็นเหตุเป็นผลก่อนนะครับ
เมื่อเราสวดมนต์ จิตผู้มีศรัทธา (เช่นคุณโลภะ) ย่อมคิดดี เห็นบทสวดเป็นของสูง
จิตจึงได้อาการอันน้อมไปทางกุศล
และถ้าเราเปล่งคำชัด จิตย่อมได้อาการอันทรงอยู่ด้วยสติ

เพราะฉะนั้นถ้าสวดมนต์บ่อย ก่อนพูดเราจะติดจิตอันเป็นกุศลเป็นตัวนำปาก
ขณะพูดเราจะระลึกถึงการเปล่งคำมากขึ้นกว่าเดิม และมากขึ้นเรื่อยๆจนเท่ากับขณะสวดมนต์
อันนี้ขอให้สังเกตพระหรือชีที่สวดมนต์ทุกวัน พูดจาจะดูน่าเชื่อถือ
(ถึงแม้บางคนจะอาศัยผ้าเหลืองหากิน ไม่ได้เพียรทำมรรคผลให้แจ้งตามหน้าที่ก็ตาม)

กังวานเสียงของผู้พูดด้วยสติและกุศลจิต (อันเหนี่ยวนำประจำด้วยบทสวด) นั้น
มักมีเสน่ห์ และทำให้คนฟังเข้าใจเนื้อสารไปในทางดี

อีกทางหนึ่ง หากสวดเป็นประจำ ย่อมได้นิสัยใหม่ อาจปรับโครงสร้างวจีกรรมใหม่
เมื่อมีกำลังที่คานกันกับกรรมเก่า ย่อมชะล้างของสกปรกออกได้บ้าง จากน้อยไปหามาก
ทั้งนี้คนสวดด้วยความตั้งใจให้การพูดเป็นมงคลแก่ตนย่อมกำหนดด้วย
ว่าจะไม่กล่าวเป็นวจีทุจริตต่างๆ ทั้งมุสา เพ้อเจ้อ ส่อเสียด และหยาบคาย

อีกทางหนึ่งมนต์แห่งบทสวดอันประจุคำสอนในศาสนาพุทธเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง
เทวดาท่านรับรู้กระแสได้ และถ้าท่านทราบว่าแหล่งใดเป็นถิ่นกำเนิดพลังนี้เป็นประจำ
ท่านก็มักมาอนุโมทนา เพราะบางทีเทวดาบางมิติท่านก็บุญน้อย
ท่านอยากได้บุญจากการอนุโมทนาเหมือนกัน
และโดยธรรมชาติของพวกท่าน ก็มักคิดปกปักรักษาผู้สวดตามกำลัง
เพราะเห็นว่ามีคุณแก่ตน หรือแก่ศาสนาพุทธ

เพราะฉะนั้นสรุปว่าไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายของบทสวด ก็ได้อานิสงส์ข้างต้นแล้ว
แต่ถ้าหากรู้ความหมายด้วย ใจก็จะยิ่งแนบ ยิ่งซาบซึ้ง บันดาลศรัทธาปสาทะยิ่งๆขึ้นครับ

ปากเรากลายเป็นมหามงคลได้ด้วยกรรม คือวจีสุจริต จิตคิดเป็นกุศลก่อนพูด
แต่ปุถุชนมักเป็นผู้หลงทาง การสวดมนต์ แม้ไม่ใช่บาลี
แต่เป็นการเปล่งพุทธพจน์ด้วยเจตนารักษาเนื้อพระศาสนา
ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นฝึกพูดดีมีศรีแก่ปากและจิตได้แน่นอนครับ


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.