ความรักบทสุดท้าย

 

 

พราวฟ้าอยู่ในสถานะความสัมพันธ์กำลังร่อแร่กับแฟนหนุ่มคือจะเลิกมิเลิกแหล่ ช่วงนี้มีกริชเพื่อนหนุ่มทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ที่จริงคือเป็นที่ระบายมากกว่า เพราะแนะนำอะไรไปพราวฟ้าก็ไม่เคยทำตาม พราวฟ้าเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง เอาแต่ใจและคิดว่าตัวเองถูกเสมอ

กริชชอบพราวฟ้าอยู่ ที่จริงมีชายหนุ่มมาขายขนมจีบกับพราวฟ้าหลายคน แต่พราวฟ้าไม่ใช่คนเจ้าชู้ คนภายนอกจะดูว่าเธอหยิ่ง เพราะนอกจากไม่ให้ความหวังใครแล้ว ถ้าใครมาชอบเธอ แล้วเธอไม่ได้มีใจให้ เธอก็มักจะพูดจาไม่ดีให้ผู้ชายเหล่านั้นออกห่าง พราวฟ้ารู้ดีว่ากริชแอบชอบเธออยู่ แต่สำหรับกริชเป็นผู้ชายที่ได้รับการยกเว้นจากการถูกทำร้ายทางวาจาเป็นกรณีพิเศษ เพราะเธอรู้ว่ากริชชอบเธอด้วยความจริงใจ ไม่เคยทำตัวคุกคาม รุก หรือจีบเธอ พราวฟ้าให้ความไว้วางใจและมักคุยเรื่องความรักของตัวเองให้กริชฟัง ดังนั้นแม้ไม่ได้ทำร้ายกริชทางวาจา ความจริงแล้วกริชก็ถูกทำร้ายจิตใจด้วยการต้องมารับรู้เรื่องความรักของพราวฟ้าเสมอ

 

"กริช...ทำยังไงดี แม๊กหายไปสามวันแล้ว ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ตกลงนี่เราเลิกกันแล้วจริง ๆ ใช่ไหม" กริชรับโทรศัพท์ได้ยินเสียงพราวฟ้าคร่ำครวญแต่เช้า แม้จะเริ่มชินบ้าง แต่ใจก็ยังรู้สึกซึมเศร้าไปตาม

"ใจเย็นฟ้า ผู้ชายน่ะ บางทีหายเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่รัก เค้าอาจจะงานยุ่ง หรืออยากสงบสติอารมณ์ เราเคยบอกเธอแล้วไงว่าผู้ชายกับผู้หญิงน่ะคิดต่างกันหลายอย่าง เอาความคิดมุมเธอมาวัดมาตัดสินคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้นะ เธอจะทำร้ายตัวเองด้วยอาวุธมโนไปถึงไหน"

"ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชั้นถึงคิดมากแบบนี้ ชั้นไม่ได้อยากคิดเลย"

"เหมือนคนบอกว่าไม่อยากเมาแต่กินเหล้าอยู่นั่นแหละ ไม่อยากคิดแต่ปล่อยใจคิดไปเรื่อยไม่รู้จักเบรค ยิ่งคิดก็ยิ่งมาก"

พราวฟ้าฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวา ความเป็นคนเอาแต่ใจทำให้ติดทำอะไรตามอารมณ์ ห้ามใจตัวเองไม่เป็น แทนที่จะฟังแล้วเอาไปคิดไตร่ตรองต่อเพื่อจะได้เลิกคิดมาก แต่เหมือนแม่น้ำล้นปรี่คิดเรื่องนี้แล้วก็ต่อไปเรื่องใหม่ "กริช เราอยากไปเจอเค้า แต่ไม่กล้าไปคนเดียว กริชพาเราไปหน่อยนะ" กริชรู้สึกจุกอกอึดอัดใจ จะให้พูดไปได้อย่างไรว่าเขาเองก็เจ็บนะ

"น้า .. กริช ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย น้า ๆๆๆ"

"อือ เดี๋ยวเราไปรับนะ ขอเป็นบ่าย ๆ หน่อยแล้วกัน ตอนเช้าเราต้องพาแม่ไปหาหมอ"

ตอนบ่ายกริชพาพราวฟ้าไปหาแม๊กที่บ้าน แต่แม๊กไม่อยู่ ระหว่างทางกลับพราวฟ้าเห็นวัดแห่งหนึ่ง จำชื่อวัดได้ว่าเป็นวัดที่พิม พี่สาวลูกพี่ลูกน้องเคยเล่าถึงว่ามาทำบุญที่นี่เป็นประจำ ชวนเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยมา วันนี้นึกอยากหาที่ ๆ ทำให้ใจสงบ นานแล้วที่ไม่ได้เข้าวัด จึงขอให้กริชพาเข้าไป เมื่อไปถึงบริเวณวัด เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งดูน่าเลื่อมใสกำลังกวาดลานวัด ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ แล้วก้มลงกราบ พระภิกษุรูปนั้นมองหน้า

“ตอนนี้เป็นเวลาทำกิจของสงฆ์ ยังไม่สะดวก ถ้าจะคุยนานก็ต้องรอ”

"เอ่อ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวน แค่อยากแวะมาทำบุญ ในศาลามีตู้ทำบุญไหมคะ"

"บอกว่าให้รอไง ไปนั่งรอในศาลานู่นไป"

พราวฟ้าและกริชเป็นงงเล็กน้อย แต่ไม่กล้าขัด จึงเข้าไปรอที่ศาลา ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พระภิกษุรูปนั้นก็ครองผ้าครบชุดเดินเข้ามาพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่ง ท่านวางไว้แล้วบอกพราวฟ้าว่า

"เอ้า เอาไป นี่ของเธอ"

"ของ...หนู..."

"ใช่ เอาไป"

พราวฟ้าลองเปิดสมุดดู พบแต่หน้ากระดาษว่างเปล่าทั้งเล่ม "หลวงพ่อให้สมุดเปล่าหนูมาทำไมคะ"

"โยมเชื่อเรื่องกรรมไหม"

"เชื่อค่ะ"

"เชื่อแต่ปาก"

"เอ่อ..ค่ะ บางครั้งหนูก็สงสัยว่าทำดีไม่ได้ดี"

"คนเราน่ะนะ สายตาสั้น เห็นแต่ความดีที่ตัวเองทำ ที่ทำร้าย ๆ มาตั้งเยอะแยะยาวนาน ลืม.. ไม่เห็น"

พราวฟ้าเงียบ มองตาใส

"เอาสมุดเล่มนี้ไป แล้วจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นนะ ไม่ใช่เอาแต่โทษคนอื่น"

พราวฟ้าเอาสมุดเล่มนั้นกลับมาบ้านอย่างไม่คิดว่าจะมีอะไรพิเศษ แต่ก็ยังมีความสงสัย ติดใจในคำพูดของพระสงฆ์รูปนั้นที่ท่านบอกว่าพราวฟ้ายังไม่รู้จักตัวเอง ทอดตัวลงบนเตียง ลองพลิกสมุดดูอีกครั้ง เอ..หรือว่าท่านจะให้เราเอามาจดเป็นไดอารี่หนอ กะพลิกดูเล่น ๆ แต่ปรากฎว่ากลับมีตัวหนังสือปรากฎขึ้นในหน้าหนึ่ง ไม่ใช่หน้ากระดาษว่างเปล่าอย่างที่เห็นที่วัด เอ..หรือว่าเราดูไม่ดีเองตอนอยู่ที่วัด

ในหน้าแรกของหนังสือเขียนว่า

"บทที่ ๑ เพราะความไม่รู้ทำให้คนเราหลงสุขบ้างทุกข์บ้าง"

เปิดมาหน้าที่สอง มีเนื้อหาเขียนว่า "เพราะความไม่รู้ ทำให้คนเราหลงทำผิด ติดค้าง เหมือนหลงทางในเขาวงกต หาทางออกไม่ได้ ปัจจุบันสะท้อนเหตุที่ทำในอดีต จนกว่าเราจะเรียนรู้และสอบผ่าน เราจะพ้นจากความทุกข์เรื่องเดิม ๆ

พราวฟ้าจะพบรักครั้งใหม่กับคนที่มีแฟนแล้ว"

พราวฟ้าเลิกคิ้ว หืม...เป็นไปไม่ได้อะ ชั้นไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด แต่เอ๋....ทำไมสมุดมีชื่อเราได้!! เป็นไปไม่ได้น่ะ เราไม่ได้บอกชื่อหลวงพ่อซะหน่อย พราวฟ้างงอย่างแรง สงสัยแต่ก็ไม่รู้จะหาคำตอบได้ที่ไหน

วันต่อมาพราวฟ้าบังเอิญได้รู้จักกับ supplier คนหนึ่งด้วยเรื่องงาน พราวฟ้าเกิดความรู้สึกดีกับเขาอย่างประหลาด คุยไปสักพักจึงคิดว่าตัวเองชอบเขาเข้าแล้ว และเขาก็ดูเหมือนมีใจให้เธอ มารู้ทีหลังว่าเขามีแฟนแล้ว เห็นเขาลงรูปสวีทหวานกับแฟนในเฟซบุคก็เกิดความน้อยใจเจ็บปวด แต่พูดอะไรไม่ได้

พราวฟ้าเอะใจนึกถึงสมุดประหลาดเล่มนั้น พลิกอ่านดูพบข้อความเพิ่ม!! "กรรมส่งผลที่ความรู้สึก ดึงดูดให้เจอใครเพื่อรับผลตามกรรม ทั้งหลอกโดยที่เจ้าตัวคนทำกรรมไม่รู้ตัว หรือทั้งรู้ก็ยินดีหลงเพื่อใช้กรรม

กรรมที่ไม่นึกถึงใจคนมาชอบ รู้ทั้งรู้ว่ากริชมีใจให้ แต่ยังพูดถึงคนอื่นไม่รักษาน้ำใจ ทำให้ต้องมาเจอกรรมแบบเดียวกัน"

พราวฟ้าอึ้งกิมกี่ สมุดมันรู้ชื่อกริชด้วย!! นี่มันไม่ใช่สมุดธรรมดาแล้วล่ะ !

พราวฟ้ารีบโทรศัพท์หาพิมอย่างลนลานและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง พิมรู้ว่าพราวฟ้าเจอของดีเข้าแล้ว

“นี่ถ้าฟ้าต้องรักษาน้ำใจทุกคนที่ชอบ นี่ไม่แปลว่าใคร ๆ ก็มีความหวังกับฟ้าไปหมดหรือคะ”

“ให้รักษาน้ำใจ ไม่ทำร้าย ไม่ได้แปลว่าต้องให้ความหวังหนิ”

“มันต่างกันยังไงคะ ทำดีคนอื่นก็ยิ่งรัก ยิ่งชอบเรา”

“ต่างสิ ให้ความหวังคือตั้งใจหว่านเสน่ห์ให้คนอื่นมาหลง หรือทำตัวน่ารักเกินความพอดีให้คนอื่นมาสนใจ แต่รักษาน้ำใจนี่อยู่ในกลุ่มของศีลคือไม่เบียดเบียนเป็นการขัดเกลาความเห็นแก่ตัว มาจากใจที่มีธรรมคือ เมตตา กรุณา ซึ่งถ้าเราเมตตาคนอื่นอย่างใจจริง คือคนที่จิตใจดี เขาเมตตากับทุกคน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาทำบาป มันอยู่ที่ใจไม่ได้คิดลวงให้หลง คนอื่นจะรักเราแล้วทุกข์ อันนั้นเป็นกรรมของเขา แต่ถ้าเราทำให้คนอื่นหลงเพราะกิเลสของเรา เปิดทาง โปรยเสน่ห์ให้เขามาตกหลุม อันนี้เราก็ต้องได้รับกรรมไปด้วย

แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันคนละเรื่องกับที่เธอทำอยู่ เธอไม่ได้ให้ความหวังก็จริง แต่เธอก็ไม่ได้ทำด้วยความเมตตาเลย เธอใช้กริชให้ทำนู่นทำนี่เพราะรู้ว่าตามใจเธอ และยังใช้เค้าในเรื่องที่บาดใจเขา รู้ทั้งรู้ว่าเขาชอบเธอมานาน”

“กริชไม่พูด ฟ้าจะไปรู้ได้ไง”

“ไม่รู้ หรือไม่คิดจะนึกถึงความรู้สึกเขาเลย คนเอาแต่ใจก็เป็นแบบนี้ เคยเห็นความรู้สึกคนอื่นซะทีไหน เห็นแต่ความต้องการตัวเอง”

“พี่พิมอะ ว่าเอาว่าเอา ฟ้าเลยไม่ได้คำตอบที่อยากรู้”

“พี่เตือนเธอต่างหากล่ะจ๊ะฟ้า ถ้าเธออยากรู้เรื่องสมุดนั้น เธอไปถามหลวงพ่อเองแล้วกัน ท่านชื่อหลวงพ่อสุนันท์”

*********************************

เช้าวันต่อมา พราวฟ้ารีบขับรถบึ่งไปที่วัด

"หลวงพ่อคะ นี่มันอะไร หนูงงไปหมด"

"สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายบนโลกนี้ล้วนเกิดจากเหตุ เหตุก็คือกรรมที่เราทำ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ ได้หรอก"

"นี่หลวงพ่อจะหมายถึง..ตามที่สมุดบอกนั่น หมายความว่าหนูไปหลงรักผู้ชายคนหนึ่งเพื่อรับกรรมที่หนูทำไว้กับเพื่อนหนูหรือคะ"

"นั่นล่ะ ที่ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงหลงรักใครอย่างไม่มีเหตุผล ตอนนี้เข้าใจหรือยังล่ะว่าคนอื่นรู้สึกยังไง"

"เข้าใจ แต่..แล้วทำไมบางคนทำไม่ดีตั้งนานไม่เห็นกรรมส่งผลคะ"

"ใช้เวลานานกว่าจะส่งผล กับไม่ส่งผลไม่เหมือนกันนะ กรรมบางอย่างอาจรอให้ผลอีกนานจนคนเราลืมไปแล้ว แต่ไม่มีคำว่าทำแล้วไม่ส่งผลหรอก เพียงแต่คนเราปลูกต้นกรรมหลากหลาย ทุเรียน เงาะ ส้ม มะม่วง มันก็ขึ้นอยู่กับว่าต้นไหนจะพร้อมออกดอกผลก่อน"

"แล้วทำไมกรรมหนูส่งผลเร็วกว่าคนอื่น ไม่ยุติธรรมเลย"

"ยุติธรรมสิ ก็โยมสร้างเหตุสร้างบุญมาด้านปัญญาไว้ จึงมีโอกาสให้เห็นผลกรรมและเชื่อมโยงได้ ลองดูคนที่เขาทำชาตินี้แล้วไปออกผลชาติหน้า ถึงเวลาเขาจำไม่ได้ ไม่รู้ จะเกิดศรัทธาว่าทุกอย่างมีเหตุมีผลอย่างไรได้ง่าย ๆ ก็มีแต่โทษว่าคนนั้นคนนี้ทำไม่ดี ไปด่า ไปทำร้ายตอบ เรียกร้องสิทธิ สร้างกรรมใหม่ กรรมเก่าก็ยังใช้ไม่หมด แถมสร้างกรรมใหม่เพิ่ม จะทุกข์ไปอีกนานแค่ไหนจึงจะรู้ตัว"

พราวฟ้าย้อนดูตัวเอง จริงด้วย ตอนแรกเรามีแต่โทษฝ่ายชายว่าทำไมต้องมาทำให้เสียใจ ใจร้าย

"ถ้าทุกอย่างเป็นผลของกรรม งั้นเพื่อนหนูก็ต้องเคยทำกรรมเช่นนี้มาด้วยสิ จึงเจอหนูทำแบบนี้ได้"

"ใช่ กรรมจะดึงดูดคนให้มาทำแบบเดียวกันกับที่เราเคยทำมา สลับบทบาทเป็นผู้กระทำและถูกกระทำ"

"งั้นหมายความว่าคนที่มาทำกับหนู เค้าก็จะไปเจอแบบที่ทำกับหนู"

"ใช่ น่าสงสารเขามากกว่าน่าโกรธใช่ไหม ถ้าเขาต้องไปทุกข์แบบที่เราเจออยู่ตอนนี้ ที่จริงก็เพราะกรรมเราและกิเลสความไม่รู้ในใจเขา แต่ถ้าคนทำเขาไม่มีเจตนา ก็ไม่มีผลอะไรกับเขานะ ในบางกรณีเราคิดปรุงแต่งให้ตัวเองทุกข์ไปเองเพราะกรรมก็ได้ เช่น..เขาไม่ได้ตั้งใจทอดทิ้งเรา แค่งานยุ่ง แต่เพราะเราเคยตั้งใจทอดทิ้งคนอื่นให้เหงา เช่นพ่อแม่ เราก็จะเจอแต่แฟนไม่ค่อยดูแล และปล่อยให้เหงาอยู่เรื่อย"

พราวฟ้าจุกอึ้ง ความทุกข์อีกเรื่องที่เธอมักจะรู้สึกเสมอก็คือคบใครไปสักพักก็มักจะถูกทอดทิ้งให้เหงา แฟนไม่ค่อยเอาใจใส่ หรือว่าเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้กับพ่อแม่

หลวงพ่อพูดต่อ "ไม่ให้ความหวังใครก็ดีแล้ว แต่ก็อย่าทำร้ายจิตใจเขา หัดคิดถึงความรู้สึกคนอื่นบ้าง

อย่าเอาแต่ใจตัวเอง แล้วเราจะเป็นคนเข้มแข็ง"

มันเกี่ยวกันยังไงคะหลวงพ่อ”

เอ๊า ไม่ทำตามอารมณ์ เราก็เป็นคนเข้มแข็งน่ะสิ เราน่ะเป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน จิตใจอ่อนแอทนอะไรไม่ได้เพราะตามใจกิเลสมาก ต้องเป็นคนอ่อนนอกแข็งในนะ คืออ่อนน้อมอ่อนโยน แต่จิตใจเข้มแข็ง จิตใจแข็งแรงมันถึงจะดี เอาแต่ใจมากี่สิบปีแล้ว สุขจริงหรือเปล่าล่ะ”

พราวฟ้าลองทบทวนดู เออ ก็จริงนะ อยากได้อะไรมักจะได้ก็จริง แต่ไม่เห็นจะมีความสุข ใจรู้สึกร้อนลุ่มบ่อย ๆ

ก็มีบุญเก่าอยู่หรอก ถึงเอาแต่ใจอย่างไรก็มักจะได้ แต่ระวังบุญเก่าหมดจะตกกระป๋อง”

พราวฟ้าตกใจเล็กน้อย หลวงพ่อรู้ใจหรือแค่บังเอิญ

ความอยากน่ะมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้เท่าไหร่ก็ไม่เห็นค่า เพราะติดอยู่กับความอยาก ๆ ๆ”

"สมุดนั่นมันคืออะไรคะหลวงพ่อ" พราวฟ้าเปลี่ยนเรื่อง

"ถือว่าเป็นของขวัญพิเศษให้โยมนะ ต่อไปโยมจะทำประโยชน์ช่วยคนได้อีกมาก”

“หนูเนี่ยนะจะไปช่วยคนอื่นได้ ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ”

“อือ ดูไปแล้วกัน ชีวิตคือการเรียนรู้ จนกว่าจะสอบผ่าน สมุดนั่นมันจะบอกคำแนะนำที่จำเป็นได้ แต่เธอต้องเรียนรู้และเลือกทางของเธอเอง ถ้าสอบผ่าน มันจะขึ้นบทต่อไป จนจบเล่ม แปลว่าเธอเข้าใจตัวเองและโลกดี จึงแปลว่าเธอสมควรมีรักแท้เพราะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รางวัลของคนที่มีปัญญาคือความสุข"

พอพราวฟ้าได้ยินคำว่า จะพบรักแท้ก็ตาโตหูพึ่ง

หลวงพ่อพูดต่อ "ถ้ายังเป็นตัวตนคนเดิม ที่แย่อยู่ ยังเดินเส้นทางเดิม เธอจะไปเส้นทางใหม่ยังไง ทุกการเจอกันเราได้ผูกเงื่อนปมอะไรไว้บางอย่างไว้กับชีวิตและความสัมพันธ์กับคนนั้น ๆ บางทีก็ผูกไว้ในด้านดี บางทีก็ผูกไว้ในด้านร้าย เช่นบางคนฆ่ากัน บางคนถูกทิ้ง บางคนรู้สึกผิดที่ทิ้ง แม้ความสัมพันธ์ในวันนี้ได้จบลง แต่เงื่อนที่ผูกไว้ในใจของแต่ละคนจะไม่จบตาม ถ้าไม่ได้รับการปลดปล่อยออก

เมื่อวันหนึ่งกลับมาเจอกันใหม่ อาจจะในชาตินี้หรือชาติหน้า เราจะต้องกลับมาเรียนรู้ และสอบข้อสอบเดิม ๆ ที่เรายังสอบไม่ผ่าน ที่เรารู้สึกผิด ที่เรายังสงสัย ที่เรายังยึด เพื่อมาคลายปม

เมื่อสอบผ่านแล้วจิตใจเราจึงจะถูกปลดปล่อยจากความทุกข์และความรู้สึกผิดนั้น ๆ จะเรียกภาษาพุทธว่า ใช้กรรม ใช้หนี้ พัฒนาปัญญาจนข้ามพ้นความโง่ ความไม่รู้ก็ได้

มองชีวิตให้เป็นเรื่องการเรียนรู้ และทำให้ดีที่สุดเพื่อจะไม่ติดค้างอะไรกับใครหรือกับโลก”

"ขอบพระคุณหลวงพ่อมากค่ะ ถึงจะยังไม่เข้าใจนัก แต่หนูจะลองดู ที่ผ่านมาหนูสับสนเหมือนคนตาบอด ว่าแต่ ทำอย่างไรหนูจึงจะหายทุกข์ในเรื่องที่ต้องทนเห็นเขากับแฟนคะ"

"ที่ต้องทนน่ะเพราะไม่มีปัญญา ถ้ามีปัญญาก็ไม่ต้องทน แต่ถ้ายังไม่มีปัญญาคงต้องทนไปก่อน เหตุเกิดที่ไหนแก้ที่นั่น เหตุเกิดที่เราทำมา ก็แก้ที่นิสัยเรา ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์แบบนี้อีก เจตนาละ คือตัวศีลที่จะปกป้องใจเรา แล้วไปขอโทษขออโหสิกรรมจากคนที่เราไปสร้างกรรมกับเขาด้วยนะ บาปส่วนบาป เวรส่วนเวร ตั้งใจละบาปแล้ว เราขอโทษกันไว้ ละเวรก็ดี จะได้ไม่ผูกกรรมกันในทางร้ายข้ามภพชาติ"

"เพื่อนหนูคนนี้เขาเป็นคนดี ไม่ผูกเวรหนูแน่นอนค่ะ"

"เเสดงเจตนาว่าเราสำนึกผิดแล้วดีกว่า ไม่ติดค้างเขาในใจเรา"

"ถ้าเป็นคนอื่นแล้วเขาไม่อภัยละค่ะ"

"เรื่องก็มีมาแล้วคือพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้าไม่เลิก แต่นั่นก็กรรมของเขา ใครถือไฟคนนั้นร้อน เราอย่าไปเล่นกับไฟ ไปกำไฟคือกิเลสและความเเค้นเองก็พอ"

พราวฟ้ากราบลากลับ

ออกจากวัดแล้ว พราวฟ้ามาลองทบทวนดู ที่จริงกริชดีกับเธอมากจริง ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่สามารถรักเขาได้ อย่างดีที่สุดที่ให้ได้คือความเป็นเพื่อนรัก ต่อมาก็คิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองเจอ ความทุกข์ความจี๊ดที่ตัวเองได้รับจากชายหนุ่มคนล่าสุด นึกสงสารกริชขึ้นมาจับใจ ตอนเราทำคนอื่นเราไม่รู้ว่าคนอื่นเจ็บแค่ไหน ต้องเจอเองกับตัวจึงจะเข้าใจ พราวฟ้าหยิบมือถือขึ้นมาโทรหากริช ในหัวใจมีแต่ความสำนึกผิด และตั้งใจว่าจะไม่ทำร้ายใครแบบนี้อีก กลับมาถึงบ้านรู้สึกใจสงบขึ้นเยอะ เปิดเฟซบุคดู เห็นรูปชายหนุ่มเจ้ากรรมนายเวรอีกครั้ง แต่แปลกที่คราวนี้ใจไม่รู้สึกจี๊ดแอบ แถมดูหน้าแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ ที่จริงเค้าก็ดูธรรมดานะ ไม่ใช่สเปคเลย หลงรักไปได้ไง ตอนนี้ทั้งความหลงและความทุกข์หายไปพร้อมกัน

แวบความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา ตอนแรกที่คิดว่าเรารัก ที่จริงคือความหลงเพื่อพาไปใช้กรรมหรือนี่

พราวฟ้าเปิดสมุดที่หลวงพ่อให้ หนังสือปรากฎข้อความใหม่ว่า "คนบนโลกมีเป็นล้าน แต่กรรมที่แต่ละคนทำจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนที่เหมาะสมกับกรรมเข้ามา ภายในจิตใจจะเหมือนมีแรงดึงดูดทะยานออกไปหลงยึดคนที่จะให้ผลตามกรรม ความไม่รู้ ความหลงดึงใจไปรับกรรมเต็มที่ กรรมหมดความอยากได้ก็คลาย กรรมน้อยจิตจะถูกลวงให้หลงทุกข์ไม่นาน กรรมมากหนักแน่น จิตจะถูกลวงให้หลงทุกข์เนิ่นนาน"

ออ...อย่างนี้นี่เอง

พราวฟ้าหยิบปากกามาจดข้อความต่อในสมุดที่หลวงพ่อให้

"ความรักคือการไม่เบียดเบียน ฝึกคิดถึงใจคนอื่น ความรักไม่ใช่การหลงเพราะกรรมหลอก!"

เช้าต่อมาเปิดดู ตัวอักษรใหม่ปรากฎขึ้น

"บทที่ ๒.."

พราวฟ้าแววตาเป็นประกาย นี่เราสอบผ่านบทแรกแล้วเหรอ

+++++++++++++++++++++++++++

พราวฟ้าเริ่มฉลาดขึ้นเมื่อเข้าใจว่ากฎของธรรมชาติ กฎของกรรมทำงานผ่านเหตุการณ์และใจอย่างไร ต่อจากนั้นมาพราวฟ้าก็นำความรู้ไปใช้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอต้องไปรับงานกับลูกค้าคนหนึ่งแทนพี่ที่ทำงาน อยู่ดี ๆ เธอก็เจอเหวี่ยงวีน ลูกค้าเข้าใจเธอผิดอย่างไม่มีเหตุผล ลองสอบถามพี่คนดูแลคนเดิมเมื่อกลับมา เขาบอกว่าปกติลูกค้าที่นี่ก็น่ารักดี ไม่เห็นเคยวีนใส่เขา เธอจึงรู้ว่า สาเหตุที่เจอลูกค้างี่เง่าใส่เธอแบบนี้ รวมถึงเจอคนงี่เง่าใส่เยอะและเธอทุกข์มาก เพราะเธอก็ยังมีนิสัยเหวี่ยงวีน มักยึดแต่เหตุผลตัวเอง ใครทำผิดก็ฉะไม่ยั้ง เมื่อเริ่มระลึกได้ ก็พยายามอดทน และปลี่ยนนิสัย เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีขึ้น จำนวนลูกค้าที่งี่เง่าใส่เธอมีน้อยลง ที่ยังมีอยู่บ้างก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเมื่อก่อน

วันหนึ่งแม๊กแฟนเก่าของเธอได้กลับมาหา ทั้งสองคนเริ่มคุยกันปกติและกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น พราวฟ้าระลึกถึงสมุดซึ่งในบทที่ ๒ มีชื่อว่า "อย่าสร้างคุณค่าให้ตัวเองแบบผิด ๆ

ในเนื้อหาของบทเขียนว่า “เพราะความอยากมีตัวตนเป็นคนสำคัญ ทำให้เราหลงสร้างคุณค่าให้ตัวเองแบบผิด ๆ ทำให้คนอื่นหึง เพื่อจะได้มาหวงเรา เห็นคุณค่าของเรา เป็นเหตุให้ต้องมาทุกข์อย่างเดียวกัน

ยิ่งอยากให้ตัวเองมีค่า ยิ่งไร้ค่า

ถ้ามีดีอยู่กับตัวแล้ว จะไม่หวั่นไหวว่าใคร ๆ ไม่เห็นว่าตัวดี เพชรแท้ย่อมเป็นเพชรอยู่อย่างนั้น แม้บางคนไม่เห็นก็เป็นเพราะสายตาเขาไม่ดี ไม่ใช่เพชรไม่ดี สำคัญคือเราดีจริงหรือยัง

ตอนนี้แม๊กกลับมาหาเธออีกครั้ง ผ่านไปสักระยะหนึ่งปัญหาก็เกิดขึ้น แม๊กมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ พราวฟ้ามักมีความรู้สึกหึงระแวงไม่มั่นใจ กลัวการสูญเสียอย่างมาก

ถ้าพูดเรื่องกรรมเธอรู้ว่า เป็นเพราะเธอมีนิสัยขี้ประชด เคยแกล้งแม๊กและแฟนเก่าคนอื่น ๆ ให้รู้สึกหึงเธอบ้างเหมือนกันเวลารู้สึกว่าถูกทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ วันนี้เธอเข้าใจแล้วว่า การทำเช่นนั้นไม่ได้แปลว่าเรารักเขาเลย แต่เป็นการอยากได้เข้าตัวและเห็นแก่ตัวเต็ม ๆ

เมื่อคิดได้แล้ว พราวฟ้าก็พยายามเปลี่ยนนิสัย แต่บทเรียนนี้ใช้เวลานานกว่าบทเรียนก่อน เพราะพราวฟ้าติดนิสัยเป็นคนชอบเอาชนะ แล้วก็สร้างนิสัยนี้มานาน นิสัยจะเปลี่ยน ไม่ใช่ใช้แค่ปากพูดว่าไม่เอาแล้ว แต่ต้องใช้ความอดทนในการก้าวข้าม ไม่ทำตามกิเลสเดิม ๆ ในการอดทนชำระกิเลส ไม่ทำตามกิเลสนั้นเป็นทุกข์ แต่ก็ดีกว่าทำตามกิเลสแล้วทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเหตุการณ์มาทดสอบว่าจะเอาจริงหรือเปล่า มีเรื่องยั่วเข้ามาให้คิดมากสารพัด ทั้งไปเจอแม๊กไปกดไลท์และหยอดชมเฟซบุคสาวอื่น ทั้งเค้าขอออกไปเที่ยวแล้วหลังจากนั้นก็มีเบอร์แปลก ๆโทรมา แต่คราวนี้พราวฟ้าตั้งใจเอาจริง ไม่ถาม ไม่ตัดพ้อ ไม่งอน แทนที่จะสาวความยาวไปเช็คอะไรต่อให้คิดมาก พราวฟ้าจะหาหนังสือหรือค้นเวปหาธรรมะอ่าน อะไรที่อ่านแล้วสบายใจขึ้น รู้สึกว่าช่วยให้ตัวเองอารมณ์เย็นได้ ก็เอาไปแชร์ให้คนอื่นอ่านต่อ

พราวฟ้ายังวิเคราะห์ถามใจตัวเองเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าเขาเจ้าชู้จริงล่ะ เราควรจะหึงไหม ได้คำตอบให้แก่ใจตัวเองว่า คนจะไม่ดี หึงไปก็ไม่ได้ช่วยให้เขาดีขึ้นหรอก ทำไม่ดีกับคนไม่ดีแล้วจะได้ดีอะไรกลับมา

ถามตัวเองต่ออีกว่า ถ้ามีแต่ยอมจะเป็นคนโง่หรือเปล่า ได้คำตอบกับตัวเองว่า เราไม่ได้ยอมเพื่อให้เขารักนี่ เรายอมเพื่อขัดเกลานิสัยเอาแต่ใจที่ทำให้เราทุกข์ต่างหาก ขัดเกลาความโง่ที่ทำให้ทุกข์ มันทำให้ฉลาดขึ้นต่างหาก มันต่างกับการยอมเพื่อให้เขามารักเลย

ผ่านไปสักระยะหนึ่งความทุกข์เพราะหึงจึงเริ่มลดลง

พราวฟ้าจดบันทึกลงในสมุด “อยากให้คนรักเห็นค่าก็ต้องทำตัวดีให้มีค่า ถ้าเราดีจริง เราจะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไงที่ผ่านมาเราคิดว่าตัวเองสวยก็พอ ที่จริงมันไม่พอเลย ใจเรานี่เองที่เป็นตัวบอก เราไม่เคยมั่นใจในตัวเองอย่างแท้จริง แต่ก็ไปสร้างคุณค่าให้ตัวเองผิด ๆ ถ้าผู้ชายเขารักเราแค่หน้าตาแปลว่าเราจะทำตัวแย่อย่างไรก็ได้ แต่ความจริงคือมันไม่ใช่ ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า

พราวฟ้าผ่านบททดสอบที่ ๒ ด้วยใจที่สงบเย็นขึ้น...

+++++++++++++++++++++++++++++

                                                               

ปัญหาเรื่องผู้หญิงของแม๊กเริ่มน้อยลง ความสัมพันธ์กลับมาดีขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผ่านไประยะหนึ่งบททดสอบใหม่ก็เข้ามาอีก แม๊กห่างหายไม่ค่อยมีเวลาให้

 

บทที่ ๓ ของสมุดเขียนไว้ว่า เป็นกรรมที่เธอทำไว้กับแม่ของเธอเอง ตั้งแต่เรียนจบทำงานหาเงินเองได้ เธอย้ายมาอยู่คอนโด ไม่ค่อยมีเวลาให้แม่ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือไม่ได้สนใจเลยว่าแม่จะเหงา หรือเป็นห่วงเธออย่างไร

“เอาจริง ๆ นะพี่พิม ถ้าฟ้าทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้แม่นี่บาปด้วยเหรอ”

“ก็แม๊กเค้าทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้เธอ เธอรู้สึกยังไงล่ะ”

พราวฟ้าจุก ไม่มีคำตอบ

เธอต้องรักคนที่ดีกับเธอให้ได้ก่อน ทำไมเธอเห็นค่าคนที่ดีกับเธอไม่ได้ แต่กลับไปหาความรักจากคนอื่นที่ไม่เห็นค่าของเธอล่ะ ฝึกให้คนอื่นให้มากกว่ารับด้วย แล้วเธอจะไม่เจ็บ

พราวฟ้าเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้คนอื่นมากขึ้น เพราะเรียนรู้แล้วว่าที่อยากได้สิ่งต่าง ๆ มานั้นมันทุกข์ล้วน ๆ เพราะสิ่งที่อยากได้นั้นสักวันหนึ่งก็ต้องแปรเปลี่ยนไป พราวฟ้าฝึกทำอะไรด้วยตัวเองให้มากขึ้น เริ่มจากการฝึกไปทำบุญเอง สังเกตใจได้ว่ารู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาก พราวฟ้าเอาใจใส่แม่มากขึ้น สังเกตว่าใจมีความสุขและเหงาน้อยลง ฝึกพึ่งสิ่งภายนอกลดลง เมื่อก่อนเหงาก็เปิดทีวี ฟังเพลง ออกไปเที่ยว เดี๋ยวนี้พราวฟ้าเริ่มปฏิบัติธรรม ฝึกมีสติระลึกอยู่กับกายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ยืนเดินนั่งนอนเคลื่อนไหว ขยับก็รู้ เดินจงกรมมีสติระลึกอยู่กับเท้าที่กระทบพื้น นั่งสมาธิมีสติระลึกอยู่กับลมหายใจ

อา...ใช่แล้ว แค่ฝึกสติให้มีฐานระลึกอยู่กับปัจจุบันคือร่างกายที่ไม่ปรุงแต่ง ก็ลดการปล่อยใจไปคิดฟุ้งซ่าน ความเหงาน้อยลงเยอะเลย

พราวฟ้าจดบันทึกลงในสมุด “ใจรู้สึกขาดเพราะเอาแต่อยากได้ เมื่อรู้จักให้เพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข ให้เพื่อสละกิเลสออกไป ความเหงาความทุกข์ก็ลดลง เพราะความขาดที่มาจากความอยากนั่นแหละคือกิเลส

 

ช่วงหลายเดือนมานี้ พราวฟ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก แต่หลัง ๆ ยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีดียิ่งถูกเข้าใจผิด แฟนมักจะแปลความหมายในการกระทำดี ๆ ของพราวฟ้าไปอีกทาง ซึ่งพราวฟ้าคิดว่าเป็นเพราะเธอเคยขี้ระแวงกับคนอื่นมาเยอะหรือเปล่า จึงทำให้แฟนไม่เชื่อใจเธอ ในที่สุดทั้งสองก็เลิกกัน

++++++++++++++++++++++++++

“ทำไมทำดีแล้วยังเลิกกันได้คะ หลวงพ่อ ใครว่าทำดีแล้วได้ดี”

ทำดีแล้วได้ดี กับทำดีแล้วได้คนนี้นี่เป็นคนละเรื่องกันนะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นความดีของเรา ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนดี หรือเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีบุญ และทำกรรมร่วมกันกับเรามา หรือบางทีก็เป็นเรื่องความไม่เหมาะสม ก็ดีทั้งคู่แหละ แต่ชอบและมีเป้าหมายต่างกัน เปรียบเหมือนนักเดินทาง ต่างคนต่างเดินมาเจอกัน แต่ก็ไม่ได้ตกลงเรื่องเป้าหมายและความชอบให้ดี คนนึงอยากไปเชียงใหม่ อีกคนอยากไปภูเก็ต คนนึงชอบนั่งเครื่องบิน คนนึงชอบเดิน ซึ่งก็เปรียบเทียบได้กับความต่างและความไม่เหมาะสมกันของคนสองคน ที่เคยเหมาะสมกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อมีเป้าหมายและชอบเดินทางต่าง หรือเดินเร็วช้าต่างกัน หมายถึงก้าวหน้าทางด้านจิตใจต่างกัน คนหนึ่งโตขึ้น อีกคนไม่ยอมโต วันหนึ่งมันก็ต้องแยกจากกัน

“เป้าหมายของหนูคืออะไรคะ หนูยังไม่รู้”

“เอ้า ก็อยากก้าวหน้าพ้นทุกข์มิใช่หรือ”

“ค่ะ”

“แต่ทำไมหนูยังลืมเขาไม่ได้ ใช้กรรมมาก็มากมาย”

"กรรมน่ะมันไม่หมดหรอก ถ้ายังก่อไปเรื่อย ๆ ทั้งบุญและบาปนั่นแหละ"

"แต่ตอนนี้หนูพยายามเลิกก่อบาปแล้ว"

"ไม่แน่หรอกโยม ชาติหน้าเกิดมาใหม่ ไม่มีครูบาอาจารย์บอก จะจำได้หรือ"

"แล้วหนูต้องทำยังไง ถึงจะไม่ต้องมาแก้กรรมไปเรื่อย ๆ คะ"

"ถามอย่างนี้ค่อยเหมือนคนมีปัญญาหน่อย เมื่อเข้าใจแล้วว่าแท้จริงตัวเราจริง ๆ ไม่มี แค่เปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา สถานะ ได้มีได้เป็นอะไรไปตามกรรม เหตุเปลี่ยนผลก็เปลี่ยนสลับสับเปลี่ยนไป จะเรียกว่ามีเราอยู่ที่ไหน หึ"

พราวฟ้ารู้สึกใจสว่างวาบอย่างประหลาด แต่ก็ยังไม่หมดข้อสงสัย

"แต่ใจมันยึดเอง หนูไม่ได้ตั้งใจยึดทุกข์ ยึดกรรม ยึดคนรัก"

หลวงพ่อประเมินพราวฟ้าจากกำลังจิต รู้ว่าตอนนี้จิตใจพราวฟ้าเริ่มตื่นเริ่มมีปัญญาขึ้นมาก แต่ยังไม่ตื่นพอเต็มที่ที่จะบอกปลายทางที่ยิ่งกว่า จึงตอบข้อสงสัยตามน้ำตามเรื่องไปก่อน

"ความโง่กับความฉลาดมันพยายามแย่งพื้นที่กันอยู่นะ ความโง่ที่ยึดของเก่า ยึดไว้นานมันก็มีกำลังส่งมาเรื่อย ทีนี้ปัญญาของใหม่ก็มีแล้ว อยู่ที่ว่าจะไหลไปตามความคิดและอารมณ์โง่ ๆ เดิม หรือให้เท่าทันแล้วเห็นว่าความคิดโง่ ๆ นี่มันก็ส่วนหนึ่ง ไม่ตั้งใจคิด ไม่ใช่ของเรา แค่เป็นตะกอนเก่าที่ตกค้าง มันคิดแล้วก็รู้ตัว ไม่ไปคว้ามันมาคิดเพิ่มเหมือนพอกตะกอน มันก็พอจะเบาบางลงได้หรอก"

"เป็นไปได้ไหมคะว่าหนูเคยอธิษฐานตั้งจิตไว้ว่าจะคู่กับเขา ทำให้หนูเกิดความหวงและกลัวสูญเสียเขา?"

“เป็นไปได้”

“แล้วหนูควรทำอย่างไรคะ ต้องถอนคำอธิษฐานไหม”

“เดี๋ยวอยากยึด เดี๋ยวไม่อยากยึด ธรรมไม่ได้แก้ด้วยตัณหา แต่แก้ด้วยปัญญา ถ้าอบรมจิตให้เห็นความจริงบ่อย ๆ ว่าไม่มีอะไรยึดได้ จะไม่ยึดติดที่ตัวบุคคล ทำดีที่สุดแล้วปล่อยให้กรรมจัดสรร"

"ค่ะ หลวงพ่อ โยมจะไม่ย้ำคำอธิษฐานและความอยากยึดอีก จะมีสติเท่าทันบ่อย ๆ "

หลังจากพราวฟ้าเริ่มรักษาศีลคือเลิกเบียดเบียนผู้อื่น ต่อมาเริ่มฝึกให้ พราวฟ้าเริ่มเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่นจากหัวใจ ตอนที่เราทุกข์ รู้สึกหาทางออกไม่ได้ ไม่มีที่พึ่งช่างน่าทรมานเหลือเกิน ตอนนี้เราจะช่วยผู้อื่นบ้าง พราวฟ้าฝึกทำเพื่อผู้อื่น ตั้งแต่ช่วยเหลือหยอดกล่องทำบุญช่วยผู้ด้อยโอกาสตามสถานที่ต่าง ๆ ที่พบเห็น ช่วยสัตว์ให้อาหารหมาแมวข้างทาง ด้วยความที่ทุกข์มามาก

พราวฟ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนเห็นใจคนอื่นมากขึ้น นอกจากทำดีช่วยคนหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักมากขึ้นแล้ว กับคนรอบตัวพราวฟ้าก็ให้มากขึ้นด้วย แม้โดนเอาเปรียบ แทนที่จะพยายามสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเหมือนแต่ก่อนโดยไม่สังเกตใจเลยว่า สู้เพื่อตัวเองแต่ทำไมใจกลับยิ่งทุกข์อึดอัด เริ่มแรกที่ยอมแม้รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด รู้สึกฝืนที่ต้องเสียสละ แต่ยิ่งทำยิ่งสละกลับยิ่งรู้สึกใจเบา คนรอบข้างที่เคยอยากเอาเปรียบก็กลับดีกับพราวฟ้ามากขึ้น

ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องของสามเณรน้อยที่เคยเกิดเป็นคนยากจน มีโอกาสได้ผ้าดีมาผืนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ได้ไปเจอพระผู้มีบารมีสูงเกิดความเลื่อมใส จึงถวายผ้า ด้วยอานิสงส์ของใจที่บริสุทธิ์นั้น ส่งผลให้ชาติต่อมาใคร ๆ มีผ้าก็เห็นแล้วเอ็นดูอยากถวายเณร แม้คนที่ปกติงกเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นเณรบิณฑบาตผ่านมายังนึกอยากถวายผ้าที่ดีที่สุด เอาผ้าที่ดีที่สุดมาถวาย ที่เห็นใครน่ารัก ใครเห็นก็นึกรัก อยากให้แต่ความรักที่ดีด้วยความจริงใจเพราะเขามีใจบริสุทธิ์ รักและให้คนอื่นจากใจบริสุทธิ์มาก่อนเช่นกันนี่เอง แม้ไม่ได้อยากให้ใครมารัก แต่เมื่อถึงเวลากรรมพร้อมส่งผล ก็ต้องได้รัก!

บทที่ ๔ ปรากฏขึ้นในหน้าสมุด “อยากได้ผลอย่างไรให้สร้างเหตุเช่นนั้น

 +++++++++++++++++++++++++++++

 

ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือ และเรียนจบสายจิตวิทยามา หลัง ๆ พราวฟ้าอ่านหนังสือธรรมะ และเห็นว่าธรรมะนี่แหละยอดของหนังสือเกี่ยวกับความเข้าใจทางจิต พราวฟ้าจึงรวบรวมเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อทำเป็นธรรมทานแจกผู้อื่น หนังสือเล่มนี้ไปเตะตาสำนักพิมพ์หนึ่งเข้า จึงชวนพราวฟ้ามาร่วมงานกับสำนักพิมพ์ เสนอให้เธอเป็นนักเขียนประจำนิตยสาร คอลัมภ์ธรรมะกับความรัก

พราวฟ้ายินดีรับงานนั้น โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นการทำบุญเรื่องความรักไปในตัว ยิ่งให้ปัญญาผู้อื่น ตั้งใจให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ยิ่งเป็นผลสะท้อนให้เธอมีปัญญา เวลาช่วยคนอื่น จะเห็นปัญหาอย่างคนวงนอก มีใจเป็นกลาง ไม่เข้าข้างกิเลสตัวเอง จึงสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง

พราวฟ้าเพลินกับการได้ช่วยคน จนลืมนึกถึงสมุดที่หลวงพ่อให้ กลับมาเปิดอีกครั้งในบทที่ ๔ ปรากฎเนื้อหาเพิ่มเติมว่า "บารมีที่สร้างจนเต็มแล้วเหมือนพระอาทิตย์ที่รอส่องสว่างเต็มที่เพื่อฉายแสงส่องสว่างให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ตื่นและทำประโยชน์"

ตรงกับชีวิตของเราช่วงนี้เลยสินะ พราวฟ้ายิ้ม

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พราวฟ้าปิดหนังสือแล้วรีบไปรับสาย

"สวัสดีค่ะ"

"น้องฟ้าคะ นายพี่เปิ้ล ชื่อคุณภพตะวันต้องการขอพบน้องฟ้าในวันพรุ่งนี้เวลา 10 โมง น้องฟ้าสะดวกไหมคะ" พี่เปิ้ล บก.ของนิตยสารที่พราวฟ้าทำงานอยู่นั่นเอง

"ได้ค่ะพี่เปิ้ล ว่าแต่ นายพี่เปิ้ลมีเรื่องอะไรหรือคะ"

"ท่านยังไม่ได้แจ้งไว้นะคะ"

"ออ โอเค ได้ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะพี่เปิ้ล"

วางสายแล้ว พราวฟ้ากลับไปหยิบสมุดมาพลิกดูเล่น ๆ ต่อ

"คู่บุญ คือดวงอาทิตย์ในใจเรา ต่างคนต่างส่องสว่างให้แก่ชีวิตของกันและกัน เพื่อความดีงามที่งดงาม"

พราวฟ้าตื่นเต้นสุดขีด หรือว่า...เราจะได้เจอคนนั้นแล้ว คู่บุญ

คู่บุญนี่ต้องหน้าตาเป็นอย่างไร รักกันแล้วจะเป็นแบบไหนนะ!?!

10 โมงเช้า พราวฟ้ามาถึงสำนักพิมพ์ตามนัด แวบแรกที่เห็นภพตะวัน พราวฟ้ารู้สึกผิดคาดจากภาพที่คิดไว้ เธอคิดว่าภพตะวันซึ่งเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยจะต้องหล่อเนี๊ยบ ดูดีอีโก้สูง แต่ตรงข้าม ภพตะวันดูดีแบบเรียบง่าย ใจดี และมีรอยยิ้มที่เป็นกันเอง

"สวัสดีครับ คุณพราวฟ้า ผมดีใจมากที่ได้คุณมาร่วมงานกับสำนักพิมพ์เรา คอลัมภ์ของคุณมีผู้ติดตามให้ความสนใจจำนวนมาก"

"ขอบคุณค่ะ และขอบคุณมากที่ให้โอกาสดิชั้นได้ช่วยเหลือคนอื่น"

"ทำไมคุณถึงเริ่มสนใจธรรมะครับ"

"ดิชั้นเป็นคนธรรมดาที่ต้องการมีสุข พ้นทุกข์ค่ะ แต่ละคนมีแนวทางของตัวเองในการหาคำตอบให้กับชีวิตในเรื่องนี้ และชั้นเลือกที่จะศึกษาธรรมะ เพราะเข้าใจว่าการที่เราจะพบคำตอบที่แน่นอนได้ เราจะต้องศึกษาจากความจริง ซึ่งธรรมะก็หมายถึงธรรมชาติที่เป็นจริงอยู่ก่อน ก่อนที่จะเกิดความคิดปรุงแต่งโดยความคิดของคนนั้นคนนี้ว่าความสุขน่าจะเป็นอะไร และธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็สอนให้เห็นถึงเหตุที่อยู่ที่ใจเราไม่ใช่สิ่งภายนอก ที่บ้าน ที่รถ ที่กระเป๋า"

"ผมดูคนไม่ผิดจริง ๆ ผมชอบหนังสือที่คุณเขียนมากนะครับ ขอบคุณเช่นกัน"

"คุณภพตะวันเป็นคนชวนดิชั้นมาร่วมงานหรือคะ"

"ใช่ครับ ผมบังเอิญได้หนังสือเล่มนั้นจากเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง"

"ขอบคุณมากค่ะ"

"ผมแค่อยากสนับสนุนคุณ เพราะเห็นว่าคุณมีความตั้งใจดีครับ และผมเห็นว่าสิ่งที่คุณมีจะเอื้อประโยชน์ต่อคนในวงกว้าง เราเป็นเมืองพุทธ แต่เรามีชาวพุทธที่เข้าใจหลักคำสอนน้อยมาก ไปติดกับประเพณีและความเชื่อในปาฏิหารย์โดยไม่รู้ว่าไม่มีใครช่วยเขาได้ นอกจากตัวเขาเอง การเขียนให้เข้าใจเรื่องกรรมช่วยให้เขาเข้าใจเหตุผล"

"อันที่จริงแล้ว ดิชั้นมีหลวงพ่อที่เป็นคอยสอนดิชั้นด้วยค่ะ บวกกับการชอบอ่านหนังสือ"

"ดีครับ ถ้ามีโอกาส ผมคงต้องขอไปกราบอาจารย์คุณบ้าง"

"ยินดีค่ะ"

"วันนี้คุณภพตะวันเรียกดิชั้นมาคุยด้วยเรื่องอะไรคะ"

"ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้น่ะครับ"

พราวฟ้ารู้สึกใจเต้น หน้าแดง

"และคุยเรื่องโปรเจคใหม่"

พราวฟ้าถอนหายใจในลำคอ

"สำนักพิมพ์เรามีคลื่นวิทยุของตัวเองด้วย แล้วตอนนี้มีแผนจะปรับผังใหม่ ผมอยากให้คุณมาช่วยจัดรายการนึง เป็นรายการที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเรื่องความรัก"

"ได้ค่ะ ดิชั้นจะลองดู"

ความสัมพันธ์ของพราวฟ้าและภพตะวันคืบหน้าตามงาน ทั้งสองคนร่วมมือกันช่วยผู้อื่น ทั้งงานหนังสือ นิตยสาร และรายการวิทยุประสบความสำเร็จดีเยี่ยม ภพตะวันเป็นนักศึกษาตัวยง สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก และเขานี่เองที่เป็นคนต่อยอดความรู้ทางธรรมให้กับพราวฟ้า ชวนพราวฟ้าให้เริ่มปฏิบัติธรรมจริงจัง จนพราวฟ้ารู้สึกว่าตัวเองก้าวหน้าทางจิตใจขึ้นอีกแบบยกระดับก้าวกระโดด ทั้งใจเย็นขึ้น ทั้งนิ่งขึ้นจากเมื่อก่อนที่ชอบทำตัวเป็นเด็ก

ทั้งสองเริ่มตัดสินใจคบหากัน พราวฟ้าเคยคิดว่า คู่รักที่มีความสุขนี่ต้องมีช่วงเวลาสวีทหวาน แต่เมื่อคบกับภพตะวันแล้วไม่ใช่เลย ความรู้สึกช่วงที่อยู่ด้วยกันไม่ใช่อารมณ์หวานที่ทำให้วูบวาบ แต่อยู่ใกล้กันแล้วรู้สึกเย็น รู้สึกไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อกัน มีอะไรที่เห็นไม่ตรงกันบ้างตามประสาคนสองคนที่โตและผ่านประสบการณ์มาต่างแต่ก็สามารถคุยกันด้วยเหตุผล เพราะต่างรักกันและกันด้วยใจจริง ไม่ได้รักเพราะหวังให้อีกฝ่ายมาเติมเต็ม ไม่มีการเกี่ยงงอนว่าเธอต้องเปลี่ยนก่อนฉันจึงจะเปลี่ยน มีแต่แย่งกันยอม และเอาปัญหากลับไปทบทวนดูว่าตัวเองคิดผิด ทำพลาดที่ตรงไหน เวลาที่มีปัญหาเห็นไม่ตรงกันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาทะเลาะกันเหมือนคู่อื่น ๆ แต่เป็นการเปิดมุมมองใหม่ ได้เห็นความรู้มุมอื่นจากอีกฝ่าย

นี่เป็นผลจากการที่เข้าใจเรื่องกรรม และฝึกมองที่ตนเองก่อนคนอื่นเสมอ

ความรักของพราวฟ้าและภพตะวันไม่สวีทหวานเหมือนน้ำหวานที่มีอารมณ์แบบสุขขึ้นสูงปรี๊ด แต่เรียบง่ายคล้ายยน้ำเปล่าที่ชื่นใจ ยามว่างทั้งสองคนไม่ได้ไปเที่ยวหรู ๆ หวาน ๆ อย่างคู่อื่น ส่วนใหญ่จะชวนกันไปทำบุญ สถานสงเคราะห์บ้าง วัดบ้าง หรือไม่ก็ชวนกันไปปฏิบัติธรรมที่วัด ทุกเวลาที่ใช้ร่วมกันต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามีคุณค่า มีความหมายต่อคนอื่น คนที่เขารัก และตนเอง

ทั้งหมดนี้เกิดจากการอบรมใจมาก่อนดีแล้วทั้งคู่ ให้เห็นว่าอะไรสุขแท้ อะไรสุขปลอม

พราวฟ้ามีแฟนมาก่อนหลายคนแต่ไม่เคยรู้สึกว่าใครจะเป็นคนที่ใช่ได้โดยไม่ลังเลเหมือนภพตะวันเลย เป็นคนเดียวที่รู้สึกอยากแต่งงานด้วยโดยไม่มีความลังเลแม้นิดเดียว ระหว่างที่มองหน้าภพตะวันและคิดอย่างนั้น พราวฟ้าพูดความคิดให้มีเสียงให้ภพตะวันได้ยินด้วย ภพตะวันหัวเราะ "ทำไมพี่คิดอย่างเดียวกันเลย เพิ่งคิดเมื่อคืนนี้ พี่รู้สึกอยากแต่งงานกับฟ้า แต่พี่ขอเวลาหน่อยนะ ตอนนี้งานของเรากำลังไปได้ดี และเป็นรูปเป็นร่าง พี่กลัวไม่มีเวลาเตรียมงานแต่งให้ดี ๆ"

พราวฟ้ายิ้มเขิน "เรื่องเวลาไม่สำคัญหรอกค่ะ พิธีอะไรก็ไม่สำคัญ ทุกวันนี้เราใช้เวลาคุ้มค่ามากทุกวัน"

พราวฟ้ารู้สึกอิ่มสุขอิ่มบุญในใจ ขอบคุณหลวงพ่อ ขอบคุณสมุด พราวฟ้าหยิบสมุดมาเปิดดู มีตัวอักษรปรากฎขึ้นในหน้าใหม่เพิ่ม บทที่ ๕ ... "เหนือบุญมีกฎที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ ความไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่อยู่ในอำนาจควบคุม"

พราวฟ้าใจหายวาบ จะเกิดอะไรขึ้นกับความรักของเราหรือ…

+++++++++++++++++++++++

ภพตะวันเปลี่ยนไปจนพราวฟ้ารู้สึกได้ เค้าเริ่มห่างหาย บางครั้งก็พูดจาไม่ดี พราวฟ้างงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ถาม พยายามเรียนรู้ที่ตัวเอง ว่าทุกข์เพราะอะไร แต่คราวนี้พราวฟ้าจนหนทาง นี่เราทำบุญมามากขนาดนี้ยังเกิดอะไรขึ้น หรือภพตะวันไม่ใช่ คิดเองก็ไม่ออก สมุดก็ไม่บอก พราวฟ้าไปหาหลวงพ่อ หวังเป็นที่พึ่ง

"กรรมเป็นเรื่องซับซ้อน เราเคยบอกแล้วใช่มั๊ย ติดอะไรก็ทุกข์ ติดบุญก็ทำให้ตาลปัตรเป็นทุกข์ได้นะ เมื่อเราทำอะไรด้วยอัตตา แม้จะเป็นบุญ แต่ไปเข้าใจผิดว่าทำบุญแล้วสุขจะเที่ยงได้ ตอนสั่งสมความยึดไปทีละน้อยเราไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาสั่งสมอัตตาใหญ่โตเต็มที่ พอความจริงแสดง ความไม่เที่ยงแปรปรวนปรากฎ ทุกข์เลย ต้องมีสติป้องกันใจไม่หลงใหลนะ กับดักในสังสารวัฎมันเยอะ"

"หนูคิดว่าพี่จ้าจะเป็นคู่บุญที่เดินร่วมกันไปได้เรื่อย ๆ"

"ทิ้งคู่ที่ไม่ดีทิ้งง่ายนะ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยึด แต่มีคู่ดีมากนี่ที่จริงอาจทำให้ทุกข์ยิ่งกว่า เหมือนได้ถือเพชรมูลค่าเป็น 100 ล้าน กว่าจะได้มามันยาก ใครจะยอมทิ้ง คนบนโลกเขาว่าโง่ถ้าทำอย่างนั้น แต่ที่จริงลองคิดดูดี ๆ เถิด เราเอาอะไรไปได้จริง กายเรายังยึดไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายไม่ได้เลย เห็นว่าตัวทุกข์เป็นตัวสุขนี่โง่หลาย

ไม่ได้สอนให้ทิ้งแบบทิ้งขว้างนะ อยู่บนโลกอะไรเป็นประโยชน์ก็ใช้ แต่ให้เข้าใจว่าแค่ยืมมาใช้ชั่วคราว เอาไปไม่ได้ ได้เกื้อกูลกันขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว

เขาก็มีกรรมของเขา แต่ละคนมีกรรมของตัวเอง เดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมายแล้วหวังว่าจะพบแต่สุขไม่มีหรอกนะ พ่อเคยจะบอกโยมแล้ว แต่ตอนนั้นโยมไม่ฟัง"

"หลวงพ่อเคยจะบอกหนูเมื่อไหร่คะ"

"เอาเถอะ ตอนนั้นโยมยังไม่พร้อม เอาเป็นว่า โยมทำงานเรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยหรือ"

"บางทีก็อยากพักเจ้าค่ะ"

"พักแล้วก็มาทำต่อ สนุกที่ไหน"

"ก็สนุกดีนะคะ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ"

"ทำไปเรื่อย ๆ เป็น 100 เป็น 1000 ปี เป็น 10000 เป็น 100000 ปีแล้ว เมื่อไหร่จะพอ สังสารวัฎเป็นแบบนั้น"

"แล้วทำไมคนเราถึงต้องเกิดคะ"

"เพราะความไม่รู้ไง เพราะความไม่รู้จักขันธ์ห้าตามความเป็นจริง กายที่รู้สึกว่าเป็นเรานี่เกิดมาจากอสุจิของพ่อไข่ของแม่ เติบโตขึ้นมาได้ด้วยอาหารบนโลก น้ำ อากาศ หาไปทั่วตัวจะไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นของเราจริง ๆ เลย กรรมตกแต่งให้หน้าตารูปร่างเพศเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความคิด ความรู้สึก ก็สั่งสมมาตามกิเลสและความเคยชิน แม้ไม่อยากคิดอย่างนี้ก็คิด แม้ไม่อยากรู้สึกอย่างนี้ก็รู้สึก ถ้าใจได้หลงยึดเห็นว่าเป็นตัวเราตัวเขาแล้วก็สร้างบุญบาปให้ต้องมารับไม่จบสิ้น

คนเราหนีทุกข์ไม่พ้นหรอกถ้ายังเห็นรูปกาย ความรู้สึก ความจำ ความคิด การรับรู้เป็นเรา มันก็จะทุกข์เมื่อกระทบและดิ้นรนเสมอ"

พราวฟ้าเอาสิ่งที่หลวงพ่อสอนกลับมาคิด เริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็เหนื่อยเหมือนกัน ต้องหลงวนอยู่ในความสับสนหลายต่อหลายครั้ง ทำบุญมากมายกว่าจะมาเจอภพตะวัน นี่ก็ยังไม่พ้นทุกข์

หลวงพ่อสอนให้ภาวนาให้เห็นไตรลักษณ์ พราวฟ้าขยันปฏิบัติธรรมขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพื่อให้จิตเห็นธรรมตามจริง ลำพังแค่คิด ๆ เอาว่าไม่เที่ยง ยังไม่พอกระเทือนความโง่ที่ฝังลึกกว่าจิตระดับสำนึก

ที่พราวฟ้าตั้งใจภาวนาส่วนหนึ่งเพื่อตัวเอง อีกส่วนหนึ่งตั้งใจฝึกจิตให้ดีเพราะไม่อยากให้ภพตะวันรับกระแสทุกข์ไปด้วย คนสองคนที่อยู่ด้วยกันมานาน และผูกพันกันทางใจ ถ้าฝ่ายหนึ่งเศร้า อีกฝ่ายจะรู้สึกได้ ก่อนหน้านี้พราวฟ้าและภพตะวันสัมผัสความรู้สึกกันได้หลายครั้ง พราวฟ้าไม่อยากทำตัวเป็นตัวถ่วง จึงพยายามพัฒนาตัวเองเต็มที่

แล้ววันหนึ่งความจริงก็เปิดเผย สาเหตุที่ภพตะวันเปลี่ยนไปเพราะรู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคร้าย เค้าพยายามรักษาตัวทุกวิถีทาง แต่ไม่มีใครหนีกรรมพ้น ที่สุดแล้วทุกคนหนีไม่พ้นความตาย สุดแต่จะช้าหรือเร็ว

"ทำไม ทำไมพี่จ้าไม่บอกฟ้า"

"พี่ไม่อยากให้ฟ้าเป็นทุกข์ พี่ยอมเก็บทุกข์ไว้คนเดียวดีกว่า พี่พยายามรักษาตัวเองให้หาย พี่คิดว่าพี่จะทำได้ แต่พี่ก็ไม่สามารถชนะกรรมได้"

"ทำไมพี่จ้าพูดอย่างนั้น ฟ้าทรมานเพราะไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรอยู่หลายเดือน"

"พี่ขอโทษ" ภพตะวันปาดน้ำตาพราวฟ้า บีบมือฟ้าไว้ "พี่ไม่อยากเห็นฟ้าเศร้า พี่ยังอยากดูแลฟ้าอยู่เลย อย่าร้องไห้นะ เราได้ร่วมทำสิ่งดี ๆ ด้วยกันมาตั้งมากมาย"

"พี่จ้ารู้ว่าเวลาเหลือน้อย ทำไมถึงไม่ใช้เวลาที่มีร่วมกันให้คุ้มค่าที่สุด ทำไม ทำไมพี่มัวแต่เอาเวลาหนีฟ้า"

"เพราะพี่เองก็ยังรู้สึกไม่เข้มแข็งพอมั๊งครับ พี่เจ็บปวดมากถ้าต้องเห็นฟ้าเสียใจ"

พราวฟ้าพยายามฮึดให้กำลังใจภพตะวันทั้งน้ำตา "ฟ้าจะเข้มแข็งค่ะ พี่จ้าห้ามห่วงฟ้า พี่จ้าต้องรักตัวเองให้มากกว่ารักฟ้า คนเราถ้ามีห่วงจะไปไม่ดี ฟ้าอยากให้พี่จ้าพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกมากกว่า พี่จ้าต้องตั้งใจภาวนานะ ช่วงนี้ฟ้าตั้งใจภาวนามาก"

"ครับ พี่รักน้องฟ้านะครับ สัญญานะครับว่าเมื่อพี่ไปแล้วน้องฟ้าต้องตั้งใจปฏบัติจนถึงที่สุดแห่งธรรมในชาตนี้ให้ได้" ภพตะวันมองพราวฟ้านิ่ง แม้ไม่มีคำพูด แต่สองคนสื่อสารด้วยใจได้ ต่างคนต่างพยายามเข้มแข็งเพื่ออีกคน

++++++++++++++++++++++++++++++

หลังจากงานศพของภพตะวันผ่านไป พราวฟ้าหมดอาลัยตายอยาก งดจัดรายการธรรมะ รู้สึกว่าที่ผ่านมากำลังชีวิตทุกอย่างมาจากภพตะวันคนเดียว เขาทำให้หล่อนขยันภาวนา เขาทำให้หล่อนมีกำลังช่วยคนอื่นมหาศาล ตอนนี้เหมือนพระอาทิตย์ตกดินแล้ว โลกทั้งโลกดูมืดไปหมด แต่เมื่อนึกถึงสัญญาที่ให้ภพตะวันก่อนตายว่าจะเข้มแข็ง พราวฟ้าก็พยายามฝืนตัวเองไปวัด ‘ต้องไม่ให้ความพยายามของภพตะวันที่ผ่านมาสูญเปล่า เขาตั้งใจช่วยเพื่อให้เธอเข้มแข็งและเดินต่อไปเองได้ ไม่ใช่ขาดเขาแล้วแย่ ตอนจบจะต้องไม่เป็นแบบนี้’ พราวฟ้าไปหาหลวงพ่อ ทั้งที่ร่างกายและจิตใจยังอ่อนแอ แต่ไม่ยอมแพ้แบบนอนตาย

"ตอนนี้พี่จ้าไปอยู่ที่ไหนคะ หลวงพ่อรู้ไหม"

"เค้าไปดีนะ ตอนนี้อยู่ข้างบนนู่น"

"ชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีกไหมเจ้าคะ"

"นี่มาตายน้ำตื้น"

"เค้าดีมากเลย ดีจนฟ้าคิดว่าคงไม่เจอใครดีเท่านี้แล้ว"

"เป้าหมายเรา หายไปไหน ยังไม่เข็ดอีกหรือ อยากร้องไห้อีกหรือ ในสังสารวัฎนี่ไม่มีใครจากกันจริงหรอก เดี๋ยวก็มาเจอกันอีก แต่เจอกันชาติใหม่ก็ลืม ต้องมาเสียเวลทำความรู้จักกันใหม่ แล้วตอนจากกันก็ร้องไห้อีก"

"เค้าเป็นคู่บุญฟ้าใช่ไหมคะ"

"ก็เป็นนะ เกื้อกูลกันมาหลายชาติแล้ว แต่เค้าก็ไม่ได้มีเราเป็นคู่คนเดียว ชาติต่อไปที่ต้องเกิดเป็นมนุษย์เขาจะต้องไปใช้บาปกับคู่อีกคนนึง แล้วก็มีอีกคนที่ทำบุญกับเขามาด้วยเหมือนกัน

เป็นไปไม่ได้หรอกที่อยากมีรักแบบครอบครองแล้วจะไม่ทุกข์ ทุกคนแปรเปลี่ยนไปตามกระแสกรรมและกิเลส ไม่มีใครมีหัวใจเป็นของตัวเองและของใคร"

พราวฟ้าช๊อคเมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนั้น

"เราเองก็มีคู่หลายคน ทุกคนสลับสับเปลี่ยนคู่กันไป ไม่มีคู่แท้ถาวรหรอก นู่นต้องระดับพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้านู่นว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป พร้อมด้วยคู่บารมี นอกนั้นยังแปรปรวนได้ ในสังสารวัฎไม่มีอะไรแน่นอนหรอก"

"ฟ้าบุญน้อยไปหรือคะ"

"บุญไม่น้อยหรอก ในสังสารวัฎนี่มีบุญได้เห็นความทุกข์ไม่เที่ยงชัด ๆ ได้เจอครูบาอาจารย์ชี้ทางออกนี่บุญใหญ่สุดแล้ว ถ้าติดที่บุญจะขาดไปหน่อยคือโง่นี่แหละ ไม่เห็นของดี ไม่เห็นว่าพบทางออกจากคุกสังสารวัฎมีค่าแค่ไหน"

"เราตั้งใจทำบุญกับคนใดคนหนึ่งเพื่อเดินทางกับเขาไปจนสุดทางไม่ได้หรือคะ" เด็กดื้อไม่ยอมแพ้

"แล้วโยมรู้ได้ไงว่า เขาตั้งใจจะเดินไปกับโยมด้วยกำลังใจเท่าโยม และไม่มีคนอื่นที่สร้างบุญไว้ยิ่งกว่า"

"แล้วทำไมพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาจึงทำได้"

"ท่านทั้งสองนี่ ท่านมีจุดหมายเดียวกัน ในการทำตนให้ถึงนิพพาน และปรารถนาช่วยผู้อื่น ท่านครองคู่กันเพื่อทำงาน ไม่ได้เพราะยึดกัน เห็นไหมหลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านก็ทำงานเผยแพร่ต่อ ไม่ได้กลับไปร่วมบ้านกับพระนางพิมพาเสียหน่อย พระนางพิมพาเพื่อช่วยงาน เสียสละตัวเองมาหลายแสนชาติ หลังจากถึงธรรมแล้ว ท่านก็แยกย้ายไปสอนคนอื่นต่อ ท่านเสียสละอย่างมาก บารมีกำลังใจสูง ไม่มีใครทนได้เท่า เราน่ะจะทนได้หรือ"

"คิดว่าทนได้ค่ะ"

"งั้นถ้าเค้ามีคนอื่น เราก็ต้องทนได้"

"คนละเรื่องเจ้าค่ะ ทนให้เค้าถึงธรรมทนได้ ทนเรื่องเขามีคนอื่นเป็นอีกเรื่อง"

"นี่ไง ถ้าทำเพื่อธรรม เห็นทุกอย่างเป็นธรรม เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม จะไม่มีความยึดติดตรงนี้หรอกโยม เขาจะทำอะไร ไปกับใคร อยู่กับคนไหน

นี่เห็นความยึดที่แอบแฝงอยู่หรือยัง ความทุกข์นี่แหละตัวบ่งบอกความยึดเลย

ยังโง่อย่างนี้ไม่เหมาะมีคู่บุญหรอกนะ ยึดสุข แล้วจะตาลปัตรเป็นทุกข์ตายเลย"

พราวฟ้านิ่งเงียบไม่มีอะไรจะเถียง ที่ผ่านมาเพราะบุญ เพราะความสุขทำให้เขวหรือนี่ อ้อ ไม่ใช่สิ สำคัญคือเพราะ...โง่

"โยมต้องมาเจอเค้าเพราะถึงเวลาของโยมที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมหาศาลแล้วล่ะ ใช้ความรักที่มีในทางประเสริฐเถอะ เขาก็อยากเห็นโยมไปให้ถึงที่สุด         

ที่จริงโยมน่ะ สร้างบารมีทางปัญญาภายนอกมามากนะ เหลือแต่ปัญญาภายใน ข้างในลึก ๆ มันยังโง่ จึงหวั่นไหว ใช้ปัญญาภายนอกพิจารณาแล้วก็พอระงับได้ชั่วคราว แต่ต้องปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีในใจต่อนะ"

หลังจากนั้นมาพราวฟ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม จิตใจเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก เข้าใจแล้วว่าการเดินทางในสังสารวัฎนั้นทุกคนต้องเดินเอง อาจมีเพื่อนร่วมทางเป็นครั้งคราว ก็สุดแล้วแต่ความเต็มใจของแต่ละคน ทางขึ้นเขาไม่ได้มีทางเดียว บางคราวอาจเดินร่วมกัน บางคราวอาจเดินแยกกันแล้วมาพบกันใหม่ ถ้าชอบเดินทางแบบเดียวกัน เดินด้วยกันอาจช่วยกันให้กำลังใจ และเตือนเมื่อเขวได้บ้าง แต่ฝากชีวิตต่อกันไม่ได้ ทางเดินเพื่อเข้าถึงพระนิพพานนั้นต้องวางทิ้งทั้งหมด เอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลย แม้แต่ตัวเอง คือทางธรรมนั้นจะต้องเห็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

จนกว่าจะถึงที่สุดคือพระนิพพาน เส้นทางในสังสารวัฎนี้มีหลุม มีบ่อ มีกับดักชวนให้หลงมากมาย แต่ถ้ามีปัญญาแล้ว ล้มก็จะก้าวเดินต่อไปเพราะเห็นว่าการติดอยู่ในสังสารวัฎนั้นมีความเสี่ยง เมื่อถอนกิเลสและความโง่ออกจากจิตใจได้หมดแล้ว จิตใจจึงจะรู้จักรักแท้ที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ ที่ทุกข์เพราะกิเลสลวงให้หลงยึดติดคนหรือสิ่งที่ไม่มีใครเอาไปได้จริงเลย

พราวฟ้าหยิบสมุดที่หลวงพ่อให้มาเปิดอ่านหลายครั้ง มันไม่เคยปรากฎตัวหนังสือใด ๆ อีกเลยนับจากวันที่ภพตะวันจากไป จนถึงวันนี้ภพตะวันจากไปเป็นปีที่ 5 แล้ว พราวฟ้าเกือบจะลืมหนังสือเล่มนี้ จนเมื่อตอนรุ่งสางใส่บาตร กรวดน้ำแล้วมานั่งสมาธิต่อ บารมี 10 ที่สั่งสมไว้ดีแล้วเต็ม จิตใจตื่นเหมือนลูกนกที่ผุดออกจากฟองไข่ที่แตกเมื่อถึงเวลา ความรู้ความเข้าใจธรรมชาติตามจริงเกิดขึ้นในจิต จิตวางขันธ์ 5 เองเพราะปัญญาถึงพร้อม จิตใจมีแต่ความโปร่งโล่ง อิสระที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ พราวฟ้าเปิดสมุดที่หลวงพ่อให้ ตัวอักษรปรากฎขึ้น

"ยินดีแก่ผู้เกิดใหม่ การเกิดทางโลกนั้นเหมือนการหลับใหลไม่จบสิ้น แต่การเกิดใหม่ในธรรมนั้นเป็นการตื่นที่แสดงถึงความจบสิ้นทุกข์ตลอดไป..."

พราวฟ้าปิดสมุด จบแล้วสินะ บทเรียนของฉัน ต่อจากนี้ไปไม่ต้องสอบอีก


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.