รักอิสระจากการหลุดกรอบของกรรม

ประสบการณ์จะสอนให้เราโตขึ้น เป็นเพราะเราเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น จากที่เคยเชื่อ เคยสรุปก่อนที่จะเห็นความจริงทุกอย่าง ก็กลายเป็นเป็นเข้าใจจากการเห็นตามจริง

สิ่งที่ญได้จากที่พี่ชายสอนและจากประสบการณ์ทั้งของตนเอง และที่ช่วยคนอื่นมามากก็คือ เรามักจะเชื่อในสิ่งที่เราคิด เวลาที่เราเป็นคนนอก เราสามารถเห็นปัญหาหรือสิ่งที่คนอื่นติดอยู่ แต่พอเป็นตัวเราเองเราจะเห็นทางออกจริงๆได้ยากมาก

ขอบเขตของมนุษย์ถูกจำกัดไว้ที่แค่อัตตาเห็น ที่กรรมส่งมาให้เห็น ยากเหลือเกินที่คนๆหนึ่งจะหลุดจากเส้นทางเดิมๆ เพราะยึดมั่นความเชื่อของตัวเองนี่แหละ


เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาตามที่กรรมบอก เช่น เชื่อว่าคนนี้ใช่ ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น เพื่อมาพบความจริงว่า อยู่ร่วมกันแล้วจะต้องทุกข์

กว่าคนๆหนึ่งจะหลุดจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ว่าจะเห็นทางออกง่ายๆเลย เพราะกรรมมันบีบไว้ให้เห็นทางแค่นั้น และด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจกรรม จึงไม่ค่อยมีใครแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ที่ผล หรือพยายามเปลี่ยนผลโดยที่ไม่เข้าใจว่า เหตุอย่างไรทำให้เกิดผลเช่นนี้ ถ้าอยากได้สิ่งที่ดี ต้องสร้างเหตุที่ดี

ตัวอย่างหนึ่งที่ญขอยกเอามาเล่าให้เห็นภาพก็คือ เรื่องของพี่ชายทางธรรมของญ

ทุกครั้งที่ได้ไปอยู่ใกล้พี่ชายทางธรรมและภรรยาของเขา ญจะรู้สึกได้ถึงความเย็นใจ แม้จะแต่งงานด้วยกันมานานแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังพูดจาน่ารักต่อกัน ช่วยเหลือกัน สนับสนุนกัน และมีเรื่องมาอนุโมทนา ยิ้มแย้มกันบ่อยๆ

เท่าที่ญเห็น พี่ทั้งสองทำงานหนักทั้งคู่ พี่ชายก็งานเยอะและช่วยคนทางนึง ภรรยาก็ช่วยคนจากงานที่ทำ(เป็นหมอ)อย่างเต็มที่ ทั้งช่วยให้หายป่วยกายและบรรเทาทุกข์ทางใจ เวลาเห็นพี่ทั้งสองอยู่ด้วยกันก็จะเป็นแนวยอมกัน ฟังกัน พี่ชายเล่าว่า เวลาที่มีปัญหามันไม่ใช่แนวจะเอาชนะกัน เพื่ออัตตา แต่ต่างคนต่างดูว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไร แล้วมาคุยกันเพื่อการพัฒนาจริงๆ

ครั้งนึงที่ไปบรรยายกับพี่ชาย พี่ชายก็เล่าให้ฟังว่า แม้จะเหนื่อยมากแต่ก็เด้งดึ๋งขับรถไปรับภรรยาได้ ถ้าภรรยาบอกว่าขับรถกลับไม่ไหว เพราะเขารู้ว่าที่ภรรยาเหนื่อยเพราะตั้งใจทำงานช่วยคน มันเป็นการช่วยกันแบบเต็มใจ เกิดจากความเคารพในสิ่งที่อีกฝ่ายทำ ในการได้เห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจช่วยคน มีกำลังแบบอัตโนมัติ รักกันได้อย่างเต็มใจ ไม่ต้องพยายามหรือฝืน จากการที่คบคนที่ไม่เสมอกัน มีเป้าหมายต่าง ชอบต่าง อยู่ด้วยกันเลยต้องปรับตัวมาก มันก็ถูกตามแบบของโลก แต่ก็ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ยังไม่ทำให้เข้าใจกรรม ต้นเหตุแห่งสุขทุกข์ของตัวเองอย่างแท้จริง ว่าอันที่จริงต้องมาอยู่กับคนที่ไม่เหมาะสมก็เพราะต้องใช้กรรมเก่า หรือแม้จะรู้ว่าเป็นเพราะกรรม แต่ใช้วิธีไม่ถูก ก็เลยต้องอยู่กันไปเรื่อยๆ

เห็นพี่สองคนแล้วก็อนุโมทนาทุกครั้ง ทำให้รู้สึกว่า คู่ที่มี "ศรัทธา" "ศีล" "จาคะ" "ปัญญา" เสมอกัน เพื่อเกื้อกูลกันในทางธรรม เป็นอย่างนี้นี่เอง เกื้อกูลกันด้วยความสุข

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เจอคู่ที่เหมาะสมกัน ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนกันมาก และอยู่กันได้อย่างมีความสุข พี่ชายบอกตอนไปบรรยายว่า พี่สองคนมักจะพูดกันว่า "ทำบุญอะไรมา ถึงได้โชคดีมีคู่ที่ดีแบบนี้" ซึ่งญก็ได้ยินกับหูตอนที่ไปเจอพี่ทั้งสอง ภรรยาของพี่ชายหันไปบอกว่า เค้าโชคดีที่มีกัลยาณมิตรแบบนี้

คำตอบที่ว่า ทำบุญอะไรมา ถึงได้โชคดีมีคู่ที่ดีแบบนี้" ที่พี่ชายให้คำตอบมาก็คือ

ช่วยทุกคนที่ช่วยได้ด้วยเจตนาให้เขาพ้นทุกข์-เป็นสุขจากใจจริง ไม่มีวาระแอบแฝงเพื่อยกอัตตา อยากดังหรือผลประโยชน์ส่วนตนใดๆปะปน รวมทั้งไม่คิดรักษาภาพพจน์ของตนด้วย แบ่งปันความรู้แบบหมดเปลือกทั้งด้านดีและด้านร้าย หน้าแตก ซวยมา โง่มา คิดเอาเปรียบ อยากเท่ห์ อยากดัง คิดไม่ดี ผิดพลาดมายังไงก็บอกให้หมดเปลือก เพื่อไม่ให้เขาผิดซ้ำแบบที่เราผิดมาแล้ว คือคำตอบสุดท้ายครับ :)”

ซึ่งมันก็คือความรู้ต่างๆที่ญได้เอามาบอกคนอื่นต่อ รวมถึงที่อยู่ในหนังสือเหตุเกิดจากความรัก

เราจะเอาความคิดดีๆใหม่ๆมาช่วยแก้ปัญหาตัวเองจากที่ไหน  ถ้าเรายังยึดและแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ (ตามที่กรรมสั่งสมมา) การช่วยคนอื่น เราเห็นปัญหาของคนอื่นได้อย่างเป็นกลาง เพราะไม่มีอคติที่เกิดจากอัตตาเราเข้าไปเกี่ยว นอกจากทำให้เราได้บุญ แล้วยังทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆในการแก้ปัญหาตนเอง ซึ่งแตกต่างจากการอ่านหนังสือดีๆ เพราะมันช่วยได้ระดับนึงตอนอ่าน แต่มันไม่เหมือนกับการเอาไปลงมือทำแล้วเกิดความประทับลงที่ใจ

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องใครๆก็รู้ว่ายึดแล้วทุกข์ ที่ท่องได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะเอาแต่ท่อง ไม่ได้ลงมือทำให้ใจเห็น

แค่การทำทานอย่างเดียว แค่นี้ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้แล้ว

แค่รู้จักทำทานด้วยใจให้ สละอัตตา ส่วนของเรา เพื่อผู้อื่น แล้วดูที่ใจบ่อยๆ เปรียบเทียบกับตอนที่ทุกข์เพราะยึด แทนการมองที่คนอื่น แล้วมองเข้ามาที่ใจตนเองจากการได้ลงมือทำทั้งสองด้าน เราจะเห็นว่ามันให้สุขแตกต่างกันอย่างไร

วิธีนี้เป็นการสอนลงมาที่ใจจริงๆ ไม่ใช่แค่ด้วยการคิด สอนที่ใจ ใจก็จะเปลี่ยน:)

เรายึดใครเราก็ทุกข์ ใครยึดเราเราก็ทุกข์
ญเคยมีแฟนเก่าที่เจ้าชู้มาก เที่ยวกลางคืนทุกคืน แต่กับญเองก็หวงญ หึงญมาก ห้ามญไปเที่ยวกับเพื่อน ถ้าจะไปไหนต้องโทรบอก ถ้าโทรมาแล้วไม่รับสายจะโดนโกรธ โดนว่า แค่ออกไปซื้อข้าวแถวบ้าน เค้าโทรมาพอดีแล้วไม่ได้รับเพราะไม่เอามือถือไป ตั้งใจไปแค่ 15นาที ญก็โดนว่า
ตอนจับได้ว่าเค้านอกใจ ญจะเลิก เค้าก็เอามีดแทงท้องตัวเอง ทำให้ญไม่กล้าเลิก
ตอนนั้นยังเด็ก ยังโง่มาก เลยยอม แต่พอโตขึ้นรู้แล้วว่าความทุกข์ที่เกิดจากการโดนยึดเป็นอย่างไรตอนนั้นเข้าใจผิดว่าเค้ารักเลยหวงเรามาก ที่จริงเป็นเพราะเค้ารักตัวเอง

รักคนที่เค้าไม่ได้ต้องการเรา แต่ก็ไม่ใช่ไม่ต้องการเราดีกว่า เล่นคำนิดนึง แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ถ้าคนหนึ่งเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ รู้ว่ายึดแล้วทุกข์(จากใจ) เลยรักแบบไม่ยึด ปรารถนารักเพื่อจะให้
แต่อีกคนหนึ่งไม่เข้าใจว่าทุกข์เพราะยึด แล้วก็รักแบบยึด ปรารถนารักเพื่อจะได้ตอบแทน
อะไรจะเกิดขึ้น

มันเป็นการยากที่จะสื่อให้คนอื่นเข้าใจว่า การให้ ไม่ยึดในความรัก คนรัก นี่แหละที่จะทำให้เรามีความสุข เพราะทุกคนที่ทุกข์อยู่ ต่างก็ทุกข์เพราะอยากได้มัน
ถ้าญพยายามบอกว่า อย่าทำให้ได้เลย เค้าอาจจะไม่ฟัง แต่มันคือความจริงนะ ที่ยิ่งเราอยาก ยิ่งเรายึด ก็ทำให้ความรักและคนรักยิ่งออกห่าง เพราะมันทำให้อีกฝ่ายอึดอัด
แต่การปรารถนาดี มีแต่ต้องการให้ ทำแบบไม่ได้คาดหวังอะไรเข้าตัว ใจเราไม่ทุกข์ จึงให้สุขได้ จึงจะทำให้คนอื่นสัมผัสความสุขได้ และอยากเข้าใกล้เรา

การฝึกละอัตตาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไปด้วย ช่วยคนไปด้วย จึงจะได้คนรักที่ดีและรู้จักรัก ถ้าไม่มีบุญก็ไม่ได้เจอคนดี ถ้าไม่ขัดเกลาตัวเองก็รักไม่เป็น รักเพื่อให้อย่างแท้จริงแบบพระพุทธเจ้าไม่มีอัตตา การยึดที่ตัวบุคคลเจาะจง แม้จะเหมือนทำเพื่อเขาจนไม่ต้องการอะไรจากเขา แต่ถ้าทุกข์ที่ไม่ได้ทำก็ยังเป็นอัตตา มีอัตตาตรงไหนก็ทุกข์ตรงนั้น ไม่สามารถเห็นอะไรตามจริงได้ ในเมื่อยึดแล้วว่าไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้ คนทุกคนที่ยังมีอัตตาทำแบบนี้และทุกข์จากการขังตนเองไว้ในอัตตา จะมีกี่คนที่เห็นกรง และพยายามทุกทางที่จะออกจากมันอย่างที่พระพุทธเจ้าชี้แนวทางให้

แนวทางที่จะทำให้หลุดจากกรอบ เห็นแค่ที่มีให้เห็น เบื้องต้นคือการรู้จักสละออก และเข้าใจกฎแห่งกรรมและกฎของธรรมชาติ เราให้สิ่งที่ดีแก่ผู้อื่น ไม่ได้ทำด้วยอัตตา อย่างที่พี่ชายสอนญ แล้วถึงตอนนั้นใจเราจะเห็นทางที่ดีๆเอง

เวลาที่ญมีทุกข์ ญก็เหมือนคนอื่นๆที่คิดอะไรไม่ออก เพราะบทว่ากรรมจะส่งผลก็ทำให้ญเห็นได้แค่นั้น ดังนั้นเวลาที่มีทุกข์ แทนที่ญจะพยายามคิดหรือเปลี่ยนคนอื่นที่เข้ามาตามกรรมของเรา ญจะพยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง ใช้วิธีที่พระพุทธเจ้าสอน ทำทาน รักษาศีล และภาวนา มันทำให้ญปล่อยวาง และคลายจากอัตตา และทำให้ใจเปิด แล้วคำตอบและทางออกก็เข้ามาเอง นี่คือวิธีสร้างเหตุที่อยากให้คนอื่นๆได้ลองทำดู แล้วจะเรียนรู้ด้วยตนเองค่ะ:)

ฝึกไปเรื่อยๆ สร้างเหตุที่ดีไปเรื่อยๆ เหมือนปลูกต้นไม้ เรามีหน้าที่รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ถ้าดูแลดีแล้ว ต้นไม้ที่เราตั้งใจปลูกก็จะเติบโตอย่างสวยงาม:)


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.