อุปาทาน ความฝัน ความจริง

moonคำ ว่า ‘อุปาทาน’ หมายถึงอาการที่เรานึกเอาเอง หรือทึกทักเอาว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่จริงไม่ใช่ ตัวอย่างอันดีคือความฝัน เมื่อเราฝันว่าเป็นอะไรอย่างหนึ่ง จิตก็หลงยึดไปว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อเมื่อสำนึกคิดอ่านปกติกลับมา ลืมตาตื่นขึ้น จึงค่อยตระหนักว่าเรื่องราวในฝันนั้นเหลวไหล เราไม่ได้เป็นอะไรอย่างนั้น อะไรอย่างนั้นไม่ได้เป็นเรา แม้ฝันว่าเป็นเรา เมื่อลืมตาตื่นก็ต้องตระหนักว่าเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราไม่ได้ไปในที่นั้น เราไม่ได้เจอใครคนนั้น ฯลฯ ฝันเป็นเพียงภาวะปรุงแต่งอันแสนพิสดารของจิต จบฝันเมื่อไหร่ อาการทึกทักเหลวไหลทั้งปวงก็จบตาม

นั่นคือสิ่งที่รบกวนจิตใจฉันอยู่เกือบตลอดเวลาไม่ใช่คนรักของฉัน แต่เป็นจิตที่ดิ้นรนของฉันเอง ไม่มีเธออยู่ที่นี่ ไม่มีหน้าเธอเข้าตา ไม่มีเสียงเธอกรอกหู มีแต่กลไกการทำงานของจิตฉันเท่านั้น ถ้ามีเธออยู่ในหัวแล้วใจทะยานไปยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือการยึดคลื่นความคิดของตัวเองอย่างไร้แก่นสารแท้ๆ

ความจริงน่าจะเป็นมุมมองที่เหมือนใครๆก็รู้กันอยู่แล้ว พูดกันทั่วๆไปอยู่แล้ว เช่นเราทำตัวเอง คิดมากไปเอง แต่สำรวจดีๆเถอะ ปกติ เวลาเราฟุ้งซ่านถึงใคร เราจะรู้สึกว่าเขามารบกวนเรา เราจะมีปฏิกิริยาทางใจกับเขาเป็นชอบ เป็นชังยิ่งๆขึ้นทุกครั้งที่เขามาอยู่ในหัวของเรา ทั้งที่ตัวจริงของเขาไม่ได้มาอยู่ตรงนั้นเลย

ประสบการณ์ นี้มีอิทธิพลใหญ่หลวงกับการภาวนาของฉัน เพราะฉันเริ่มเห็นขึ้นมารางๆว่าโลกทั้งโลกมีความหมายกับเราเพียงใด ขึ้นอยู่กับกลไกการทำงานในจิตเท่านั้น บุคคลภายนอกที่เข้ามากระทบเราเพียงแต่ทิ้งร่องรอยหรือสัญญาณบางอย่างไว้ เมื่อสัญญาณดังกล่าว ‘ดัง’ ขึ้นรบกวนจิต ก็จะเกิดความจดจำได้ และทำให้มีอาการคำนึงนึกถึงบุคคลภายนอกขึ้นมาเป็นชอบหรือเป็นชังทันที หากเป็นชอบก็จะมีสุขเวทนาทางใจ หากเป็นชังก็จะมีทุกขเวทนาทางใจ

คล้ายกับ ‘โลกแห่งความจริง’ ที่กำลังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้โคลงเคลงไป ใกล้ๆจะพลิกคว่ำคะมำหงาย หรือมีสภาพ ‘พื้นซึ่งอาศัยยืนอยู่หายไป’ หาก ไม่มีใครอยู่ตรงหน้าเราสักคน เราก็เป็นแค่สภาวะทางธรรมชาติ คือเป็นโครงกระดูกฉาบเนื้อที่เคลื่อนไหวได้ เป็นจิตที่อาจเสวยสุขทุกข์จากกระทบนอกใน เป็นจิตที่อาจทรงจำหลายสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เป็นจิตที่อาจตรึกนึกและเจตนาดีร้าย เป็นจิตที่รับรู้โลกภายนอกผ่านเครื่องต่อคือตา หู จมูก ลิ้น และกาย

ในภาวะโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครอยู่ด้วย ตัว ฉันที่แท้ไม่มีชื่อ ไม่มีสภาพความเป็นบุคคล สิ่งที่เปิดเผยตามจริงแก่จิตคือส่วนของรูปธรรมที่เคลื่อนไหวได้ กับส่วนของนามธรรมที่แปรปรวนได้ ที่ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วเข้าใจว่า นี่คือฉัน’ ล้วนเป็นเพียงอุปาทานไปเองทั้งนั้น ช่างเป็นการเห็น ‘ความจริง’ ที่แปลกประหลาดดีแท้ สภาวะเหล่านั้นเป็นอย่างที่พวกมันเป็นอยู่มาช้านานอย่างเปิดเผย แต่กลับปรากฏเป็นของปิดบังมิดเม้นไปได้อย่างเหลือเชื่อ

ความ จริงคือภาวะนี้ต่างหากที่กำลังเห็นโลกผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง น่าตระหนกนักที่ม่านอุปาทานหนาหนักเสียจนทุกอย่างดูเป็นจริงเป็นจัง นี่กายฉัน นี่รถฉัน นี่ความรู้สึกนึกคิดของฉัน หาพิรุธไม่ได้เลย ไม่น่าสงสัยเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องเพียรพยายามนึกให้มีฉัน มันก็มีอยู่ในใจตลอดเวลา แตกต่างจากการเห็นให้ได้ตามจริงว่านี่ไม่ใช่ ฉัน นี่ไม่ใช่รถฉัน นี่ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดของฉัน กว่าจะเห็นว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ก็ต้องตั้งสติกันนาน ฝึกอบรมจิตกันพักหนึ่ง

ฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงง่ายที่จะคิดแบบปุถุชนคิด และพบว่าเมื่ออาศัยความนึกคิดแบบปุถุชน ย่อมพาไปสู่ความสงสัยว่าอย่างนี้เราคืออะไรกัน?

ประสบการณ์ ครั้งแรกๆที่คาบเกี่ยวกันอยู่ระหว่างความคิดเชื่อว่ามีตัวตน กับความประจักษ์ชัดว่าตัวตนไม่มีนั้น เป็นอะไรที่น่าตระหนกยิ่ง หากมี พื้นฐานจิตใจพร้อมคิดสละออก คือทานบารมีดีพอ ประกอบกับมีใจสะอาด คือศีลบารมีดีพอ รวมทั้งมีดวงจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวง่าย คือสมาธิบารมีดีพอ ก็จะกลับวางเฉยเสียได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตรงข้ามกับผู้ไม่เคยคิดสละออก มีใจสกปรกคิดคด รวมทั้งฟุ้งซ่านเห็นอะไรๆบิดเบี้ยวจากความเป็นจริง ก็จะว้าวุ่นจนกลายเป็นบ้าเอา

พระพุทธเจ้าให้ทำจิตผ่องใสเป็นสมาธิ ให้รักษาศีลสะอาดบริสุทธิ์ก่อนเจริญสติปัฏฐาน ให้หมั่นทำทานคิดสละออก ล้วนแล้วแต่มีความหมาย มีความเป็นพื้นฐานเพื่อรอรับยอดได้อย่างเหมาะสม ท่านไม่เคยแนะนำขาดตกบกพร่องอันจะเป็นเหตุให้สาวกต้องลำบากภายหลัง

คัดจาก หนังสือ ๗ เดือนบรรลุธรรม

ดังตฤณ


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.