เมื่อฟังธรรมะแล้วไม่เข้าใจ

question2โดย นายโจโจ้

ผู้ตอบกระทู้ได้บุญ แต่ผู้อ่านกระทู้อย่างเดียว ช่วยไม่ได้ครับ 
ประเด็นสำคัญคือเขาต้องสำนึกผิด รวมทั้งปล่อยวางความผิดเหล่านั้น ซึ่งปัญญาที่จะทำให้เขาปล่อยวางได้นั้น ไม่สามารถได้มาจากการอ่าน โดยเฉพาะถ้าเขาไม่เคยช่วยคนอื่นๆด้วยเจตนาเพื่อให้ผู้ได้รับความช่วยเหลือ พ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง 
พูดง่ายๆ คือ ถ้าเขาไม่เคยให้ธรรมะเป็นทาน เขาก็จะไม่สามารถรับธรรมะเป็นทานได้ นี่คือความหมายของคำว่า ปทปรมะ คือเข้าถึง(ธรรม)ได้เพียงตัวบท(ตัวอักษร) โดยที่ธรรมะไม่สามารถซึมเข้าไปในใจเขาได้ ซึ่งก็จนกว่าเขาจะรู้จักการให้ธรรมะเป็นทานโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
ว่ากันตรงๆก็คือการทิ้งนิสัยเห็นแก่ตัว การทิ้งนิสัยการทำเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน หรือการทำโดยหวังให้เขาพ้นทุกข์เป็นที่สุดโดยไม่มีประโยชน์ทางวัตถุหรือหวังให้เกิดสภาพ "ต่างตอบแทน" กับผู้ที่เขาช่วยน่ะครับ
นี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆในสังคมไทยในยุคปัจจุบันที่คนรุม "ขอของฟรี" ด้วยอาการ "แร้งลง" ที่เห็นได้จากทุกหนทุกแห่ง ที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นแบบแร้งก็คืออาการตีกันแย่งของ แต่ก็ยังปรากฏไปกดดันด่าว่าผู้แจกของฟรีว่าทำไมแจกให้เล่มเดียว ต้องให้เดินวนสามรอบหรืออย่างไร? เป็นต้น
เล่าเรื่องจริงอีกเรื่องนะครับ
ในวาระที่น้องคนหนึ่งที่มีความทุกข์เรื่องความรักมาปรึกษากับโจ โจ้ ซึ่งโจโจ้ก็พากเพียรแบบเดียวกับคุณ Vivi คือพูดให้เขาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาจำได้ทุกตัวอักษร คือพูดตามได้ทุกคำ จำเอาไปพูดกับคนอื่นรอบๆตัวเขาได้อย่างคล่องปากแล้ว (เห็นความเป็นปทปรมะไหมครับ?) แต่ "ไม่เข้าใจ"
จนกระทั่งโจโจ้ก็แน่ ใจแล้ว ว่าการพูดกับเขาต่อไปมันตันแล้ว ก็เลยแนะให้ไปทำบุญ โดยการให้เอาของเก่าที่เขาไม่ใช้แล้ว ทั้งเสื้อผ้า ชุดนักเรียน หนังสือเรียน เครื่องเขียน สารพัดของเขาไปให้ผู้ที่ขาดมากๆและต้องการใช้ของเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งเราไปสรุปกันที่ค่ายผู้อพยพไร้สัญชาติ ซึ่งคณะที่ทำงานกับค่ายนี้คือ Jesuit Refugee Service นำโดยอ.เอมิลี เกตุทัต ภรรยาอาจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ซึ่งแม้ค่ายนี้จะเป็นค่ายของคริสต์ แต่อ.เอมิลีท่านมีใจกว้างอย่างแท้จริงที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะทำในนามของใคร อย่างไร
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่วันที่ผมกับน้องคนนี้นั่งรถเอาของไปให้ที่สำนักงาน ของ Jesuit Refugee Service ในซอยอารีย์ 4 ฝั่งใต้ ที่ผมเป็นเพียงคนนั่ง น้องเป็นคนขับ ขาไปเขายังเศร้ากับเรื่องแฟนอยู่เลย แต่พอเอาของทั้งลังไปให้กับมืออ.เอมิลีเสร็จ ได้เห็นภาพความเป็นอยู่ของผู้อพยพที่ไม่มีบ้านเมืองให้กลับแล้ว เกิดความสลดสังเวชใจ และในขณะเดียวกันก็เกิดปีติว่าสิ่งของที่เขานำไปมอบให้นั้นจะถูกนำไปใช้และ นำความยินดีมาสู่ผู้ได้รับเพราะเขาไม่มีอะไรจะใส่ ไม่มีอะไรจะใช้แล้วจริงๆ แม้แต่ผ้าอนามัย เขาก็ยังต้องใช้ผ้าแถบ แล้วชิ้นเดียวต้องสลับกันใช้สองคนต่อหนึ่งผืนนะครับ
น้องกลับมาขึ้น รถ แล้วโจโจ้ก็พูดเรื่องเดิมที่พูดมาแล้วยี่สิบกว่าหน น้องฟังเข้าใจทันที แล้วก็ถามว่า แล้วที่ผ่านมาทำไมถึงฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ก็เลยได้บอกให้น้องเข้าใจ ว่านี่ไง อานิสงส์ของการทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ทันตาเห็นมั้ย ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถรับปัจจัยที่ทำให้เขาหลุดจากทุกข์ได้เลย
น้องก็เลยอ๋อ และนำความเข้าใจเรื่องนี้ไปใช้กับพ่อเขาเองที่สอนเท่าไหร่ก็ยังไม่ Get เสียที ก็ต้องจับไปทำบุญเสียก่อน ถึงจะเริ่ม "รับได้บ้าง" และจากนั้นก็ได้นำไปใช้กับเพื่อนรอบๆตัวอีกหลายสิบคน เช่นไปชักชวนคนรอบตัวพิมพ์หนังสือธรรมะ ชักชวนไปทำบุญกับผู้ที่ไร้ที่พึ่ง ขาดแคลนหนักหนาสาหัส เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ลดความอยากได้ของคนอื่นอย่างรุนแรงที่ถูกสังคมบ่มมาตลอดชีวิต อันเป็นเหตุให้เขาเริ่มรับสิ่งที่ไม่เคยรับได้มาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เริ่มที่ผิวเขาขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่เดิมคล้ำมาก กลายเป็นขาวอย่างชัดเจนครับ
โจโจ้เคยเห็นทั้งคน ที่ดำกลายเป็นขาว และเคยเห็นคนที่ขาวแบบ Glow in the dark กลายเป็นหมองหรือเกือบดำก็มี ซึ่งก็ได้ติดตามข่าวและเก็บข้อมูลสิ่งต่างๆที่เขาทำตลอดกว่าสิบปี ทำให้ได้เข้าใจการส่งผลของกรรมที่เอามาสรุปสู่กันฟังโดยหวังว่าจะเป็น ประโยชน์กับผู้อ่านต่อๆไปครับ
ที่มา www.larndham.org

 


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.